X

War Game เมื่อการเล่นสงครามสมมุติทำให้ชนะสงครามจริง

 

 

 

 

 

การรบแบบจำลอง หรือ War Game คือการจำลองการรบโดยไม่อาศัยการใช้กำลังจริงหรืออยู่ในสถานการณ์จริง มันมีผลอย่างยิ่งต่อการฝึกฝนให้มันเป็นสิ่งที่อยู่คู่มนุษย์มานานถึงแม้ศัพท์นี้จะดูใหม่และน่าจะเกิดในยุคหลังที่เริ่มมีระบบอำนวยการรบที่ชัดเจน แต่ในความจริงแล้วการเล่น War Game อยู่คู่กับมนุษย์มานานนับตั้งแต่ยุคโบราณที่มีการเล่นเกมหมากรุก หรือ เกมกระดานต่างๆ ซึ่งเป็นเกมเล่นในยามว่าง เริ่มมีการใช้ตัวหมากเป็นตัวแทนของทหารหน่วยต่างๆในการเล่น แต่ในตอนแรกนั้นการกำหนดรายละเอียด สถานการณ์หรือหน่วยทหารที่มีการจัดกำลังซ้ำซ้อน

 

การเล่นหมากรุกก็ถือเป็น War Game ชนิดแรกๆที่เกิดขึ้นบนโลกแต่ในห้วงแรกมันก็เป็นเพียงกาลเล่นที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้คำนวณจริงๆในสงคราม

 

ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 เริ่มมีการ สร้างตัวหมากที่แทนการจัดกำลัง ระดับ กองพัน , กรม , และ กองทัพ และจากบอร์ดที่เป็นกระดานเรียบๆหรือเป็นตาราง ก็เริ่มมีการใช้แถบสีที่แสดงถึงสภาพภูมิประเทศที่ต่างกัน และมีกรรมการกลางเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งก็มี โยฮันน์ คริสเตียน ลุดวิก เฮลวิก (Johann Christian Ludwig Hellwig) นักคณิตศาสตร์และนักออกแบบชาวเยอรมัน นำคุณสมบัติแบบใหม่มารวมในเกมกระดานเกมเดียวกัน

ตาราง War Game ของ เฮลวิก ที่ออกแบบใหม่ไม่ให้เหมือนหมากรุกทั่วไป มีการใช้หน่วยทหารที่ใช้ในสนามรบจริง รวมถึงมีภูมิประเทศที่หลากหลายแบ่งตามสีไม่ใช่ตารางธรรมดาๆ

 

 

ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 เริ่มมีการใส่ปัจจัยหลายอย่างที่ซับซ้อนขึ้นเช่น คลังเสบียง การส่งกำลังบำรุง เริ่มมีการกำกับเวลาในการเล่น และคราวนี้มันไม่ได้เกมที่ใช้เล่นสนุกอีกต่อไปเพราะทหารอาชีพเริ่มใช้มันในการประกอบการวางแผน จนกระทั่ง จอร์จ ฟอน ไรวิทซ์ (Georg von Reisswitz) นายทหารปรัสเซียได้ ได้ออกแบบเกมกระดานแบบใหม่ ที่เริ่มใช้แผนที่สมจริงแบบทหารเพื่อใช้ในการเล่น มีการใช้ทาสีน้ำเงินเพื่อระบุฝั่งเรา และสีแดงเพื่อระบุฝั่งข้าศึก รวมถึงมีลูกเต๋าเพื่อใช้ในการคำนวณ ผู้บาดเจ็บหรือสูญเสีย และมีกรรมการกลางหลายคนเพื่อใช้ตัดสินผลต่าง ๆและเป็นผู้กำหนดว่าใครจะแพ้หรือชนะในเกมนั้น โดยผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่ายจะไม่มีกาคุยกันโดยตรงแต่จะเขียนคำสั่งส่งมายังกรรมการเพื่อให้พวกเขาเดินหมากทำตามแผนที่ผู้เล่นวางเอาไว้

 

จอร์จ ฟอน ไรวิทซ์ บิดาแห่ง War Game ซึ่งริเริ่มนำ War Game มาประกอบแผนการรบ

 

รัศมีการเดินทัพหรือการเล่นของแต่ละหน่วยก็ต่างกันเช่น หน่วยปืนใหญ่นั้นสามารถโจมตีได้ระยะไกลกว่าทหารราบมาก ได้มีการสาธิตการเล่นเกมนี้ให้ กษัตริย์ปรัสเซีย รวมถึงนายทหารระดับสูงของปรัสเซียหลายคนได้ดู นายพล คาร์ล ฟอน มูร์ฟิง (General Karl von Mueffling) ได้กล่าวว่า “นี้มันไม่ใช่เกม มันคือการฝึกสำหรับสงคราม ทั้งกองทัพควรจะรู้จักมัน” เขามีส่วนอย่างยิ่งในการผลักดัน War Game ให้นิยมในหมู่กองทัพ เรื่องนี้มาถึง เฮลมุท ฟอน มอลเคลต์ (Helmut von Moltke) เสนาธิการแห่งกองทัพเยอรมันได้ แพร่กระจายมันให้ไปไกลมากขึ้น

 

War Game ถูกนำมาใช้ร่วมกับการวางแผนการรบจริงๆในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19

 

จนกระทั่งเกิดสงครามระหว่าง ฝรั่งเศส – ปรัสเซีย (Franco – Prussia War) ในช่วง ค.ศ.1870 ผลของมันคือความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสที่เคยเป็นเบอร์ 1 ทางการทหารของยุโรป ส่วนหนึ่งที่ทำให้ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ นักวิชาการปัจจุบันให้ข้อสังเกตว่า ที่ปรัสเซียเอาชนะฝรั่งเศสได้เหตุหนึ่งก็เพราะการเล่น War Game ของพวกเขาที่ทำให้เหล่าทหารมีความคิดริเริ่มมากขึ้นในการปฏิบัติการ มันเป็นการปูพื้นฐานให้พวกเขาได้รับความคิดแบบใหม่ๆ ซึ่งการเล่น War Game นั้นยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบันแต่อาจมีการเปลี่ยนรูปไปบ้างเพื่อรับมือกับสถานการณ์ใหม่ที่จะเกิดในอนาคต เช่นมีการกำหนดกติกาและสถานการณ์ที่มากขึ้น มีการเล่น War Game ในการรบหลายระดับตั้งแต่กองพันขึ้นไป และการเพิ่มอาวุธ เทคโนโลยี สมัยใหม่เข้าไป ปฏิเสธไม่ได้ว่า War Game ยังคงเป็นที่จำเป็นต่อการทหารปัจจุบัน

 

ปัจจุบันกองทัพทั่วโลกก็ยังคงเล่น War Game