X

Ship of the line เรือปืนผู้ครองสมุทร

ในทุกวันนี้เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าที่โลกเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์และเจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วเช่นทุกวันนี้ เพราะได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตก ซึ่งแพร่ไปทั่วโลกในช่วงยุคล่าอาณานิคม และอะไรกันเล่าคือปัจจัยที่ทำให้พวกเขาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลกได้ นอกจากอาวุธดินปืน แนวคิดเรเนสซองส์ อีกปัจจัยที่สำคัญคือ พวกเขามีเรือที่สามารถแล่นข้ามมหาสมุทรเพื่อแพร่สัญจรไปได้ทั่วทุกมุมโลก ซึ่งในบทความนี้ผมจะกล่าวถึงเรือรบอันทรงพลังของชาวยุโรปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ที่เรียกกันว่า “Ship of the line” หรือ เรือแนวเส้นประจัญบาน 

Source : https://patr.io/pUm3G

เนื่องด้วยสาเหตุหลายอย่างเช่นการแพร่ขยายอำนาจของพวกมุสลิมในเอเชียตะวันตกซึ่งควบคุมเส้นทางสายไหมที่เอาไว้ติดต่อกับโลกตะวันออก ทำให้ชาวคริสต์ต้องหาเส้นทางการค้าขายใหม่นั้นคือทางทะเล และการเข้ามาเทคโนโลยีใหม่ เช่น เข็มทิศ การพัฒนาเทคโนโลยีในการต่อเรือที่แต่ก่อนเน้นเรือที่ท้องแบนและเป็นเรือที่ต้องใช้ฝีพายเป็นหลักในการเคลื่อนที่เป็นเรือที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม มีท้องเรือที่แข็งแรง กันน้ำลึกกว่าเดิม และมีใบเรือหลายใบทำให้พวกมันทนทะเลได้มากกว่าเรือที่ต้องใช้ฝีพายในยุคแรก ซึ่งทำให้เกิดเรือใบมากหลายประเภท และได้เริ่มมีการนำอาวุธดินปืนที่กำลังเฟื่องฟูในยุคนั้นเช่นกันมาติดบนปืน ทำให้มันกลายเป็นเรือปืนที่ทรงอานุภาพ และกลายเป็นอาวุธที่สามารถเดินทางไปได้รอบโลก!! ดังเช่น โปรตุเกสในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 ที่เรือใบติดปืนของพวกสามารถข่มขู่ เมืองท่าตามแถบอินเดียให้ยอมจำนนได้ และทำให้พวกเขาครองมหาสมุทรอินเดียไปโดยปริยาย

Source : https://patr.io/6Z29T

เรือโปรตุเกสกำลังโจมตี เมืองกัว เมืองชายฝั่งในอินเดีย

อย่างไรก็ตามไม่นานชาติยุโรปต่างๆ ที่เริ่มตื่นตัวในการออกทะเล ก็เริ่มสร้างกองเรือของตนขึ้นมา ไม่ว่าจะ สเปน, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, ดัตช์ อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้ทำการแบ่งคลาสอย่างชัดเจนว่า เรือประเภทไหนเป็นเรือรบหรือเรือประเภทไหนเป็นเรือสินค้า จนกระทั่งช่วง ทศวรรษที่ 1650 อังกฤษได้เริ่มทำการแบ่งขนาดของเรือตามระวางขับน้ำ(น้ำหนักของปริมาตรน้ำที่ถูกเรือแทนที่)  และได้แบ่งเรือรบและเรือสินค้าออกอย่างชัดเจน โดยเรือที่มีจำนวนปืนใหญ่น้อยกว่า 74 กระบอก จะถือเป็นเรือรบขนาดเล็กเช่นเรือ ฟรีเกต, คอร์เวต, หรือ สลุป สำหรับเรือที่มีปืนใหญ่จำนวน 74 กระบอกขึ้นไป และความยาวตั้งแต่ 120 – 210 ฟุต กว้าง 30 – 60 ฟุต และดาดฟ้า 3 – 4 ชั้น จะกลายเป็น เรือแนวเส้นประจัญบาน หรือ “Ship of the line” แน่นอนว่าต่อมาชาติยุโรปอื่นๆ ก็ทำตามโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝรั่งเศสที่ ริเริ่มแนวคิดนี้มาไล่เลี่ยกับอังกฤษ และทั้ง 2 ชาติมหาอำนาจนี้ก็กลายเป็นคู่กัดไปกันอีก 100 กว่าปี และไม่นานชาติยุโรปอื่นๆ ก็รับแนวคิดนี้ตามหมด

สาเหตุที่เรียก Ship of the line ก็เพราะเรือพวกนี้จะรบใน แถวประจัญบาน หรือ “Line of Battle”  นั้นคือการที่เรือเรียงแถวเป็นหน้ากระดานและหันข้างกราบให้ข้าศึกเพื่อเพิ่มอำนาจการยิงสูงสุดให้ปืนเรือ หากเทียบแล้วก็เหมือนกับบนบกที่ตั้งแถวหน้ากระดาน ที่ทำเพื่อเพิ่มอำนาจการยิงสูงสุดให้ปืนคาบศิลา ซึ่งการรบในรูปแบบนี้ก็จะถูกใช้ในยุทธนาวีไปอีกนานแสนนานจนมีบันทึกว่าครั้งสุดท้ายจริงๆที่ เรือรบทั้ง 2 ฝั่งตั้งแถวประจัญบานหันข้างกราบใส่กันคือ ที่อ่าวเลย์เต ค.ศ.1944 ในสงครามโลกครั้งที่ 2 แน่นอนว่า กลยุทธ์นี้เริ่มล้าสมัยเพราะการรบกันในระยะโพ้นสายตา โดยใช้เครื่องบินรบ หรือ อาวุธปล่อยและตอร์ปิโด ได้รับความนิยมมากกว่าการดวลปืนระหว่างเรือ

Source : https://patr.io/KWiT8

การปะทะกันของเรือแนวเส้นประจัญบาน

ทั้งนี้ในการสงครามช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 – 19 ก็ใช้ว่าเรือรบจะตั้งแถวประจัญบานเพื่อทำการรบกันอย่างเดียวเพราะเรือสมัยก่อนแล่นช้าต้องอาศัยแรงลมเป็นหลักและเปลี่ยนรูปขบวนได้ยาก ในบางครั้งกองเรือทั้ง 2 เจอกันตอนเช้ากว่าจะเคลื่อนขบวนเข้าหากันและทำการรบกันก็ล่อไปเที่ยง!! ซึ่งในบางครั้งข้าศึกประเมินว่ากองเรือของตัวเองน้อยกว่าก็จะหนีไปก่อนที่จะเข้าปะทะ ส่งผลให้ยุทธนาวีในยุคนั้นเกิดขึ้นน้อย ส่วนใหญ่มักจะเป็นการปะทะกันระหว่างเรือเล็กเช่น ฟรีเกต เสียมากกว่า แต่มีอีกยุทธวิธีหนึ่งที่น่าสนใจนั้นคือ ยุทธวิธีของ พลเรือโท เนลสัน แม่ทัพเรือในตำนานของอังกฤษ ซึ่งเน้นให้อิสระกับ กัปตันเรือแต่ละคนในการรบ ก่อนจะทำการรบเนลสันจะเรียกกัปตันเรือแต่ละคนมาประชุมที่เรือธง เพื่อบอกแผนการของตนและให้กัปตันแต่ละคน “ทำอย่างไรก็ได้” ให้แผนนั้นลุล่วง นั้นหมายความว่า เรือแต่ละลำในกองเรือสามารถปฏิบัติการได้อิสระไม่ต้องอยู่ในรูปแถวตลอดเวลา ทำให้เกิดความคล่องตัวในการรบมากว่าแบบรูปแถว และ กองเรือของอังกฤษของเนลสัน ก็เอาชนะ กองเรือผสมฝรั่งเศส – สเปน ได้ในยุทธนาวีที่ ทราฟัลการ์ เมื่อ ค.ศ.1805 ทำให้อังกฤษกลายเป็นมหาอำนาจทางทะเลเพียงผู้เดียวมากกว่า 100 ปี 

Source : https://patr.io/YQyv7

พลเรือโท โฮราชิโอ เนลสัน วีรบุรุษของอังกฤษ

สำหรับเรือแนวเส้นประจัญบานนั้นอาวุธหลักของมันคือปืนใหญ่ที่อยู่ 2 ข้างกราบทั้งซ้ายและขวา และบางส่วนที่อยู่หัวและท้ายเรือ  ซึ่งมี 74 กระบอกไปจนถึง 140 กระบอก โดยเรือแนวเส้นประจัญบานที่ใหญ่ที่สุดที่ได้รับการบันทึกว่าเคยมีมาคือ เรือสัญชาติสเปนซึ่งมีชื่อว่า มันอ่านว่า นูเอสตร้า ซิญญอร่า เด ลา ซานติสซิม่า ตรินิดาด (Nuestra Senora de la Santisima Trinidad) ซึ่งมีปืนใหญ่มากถึง 140 กระบอก ระวางขับน้ำ 4,590 ตัน ส่วนเรือแนวเส้นประจัญบานที่มีชื่อเสียงโด่งดังของอังกฤษได้แก่เรือธงของ ลอร์ดเนลสัน ในยุทธนาวีทราฟัลการ์ อย่างเรือหลวงวิกตอรี ซึ่งมีปืนใหญ่ 104 กระบอก ระวางขับน้ำ 105 ตัน สำหรับปืนใหญ่บนเรือนั้นจะมีขนาดใหญ่กว่าปืนใหญ่สนามบนบก เพราะไม่ต้องเคลื่อนย้ายไปไหนมาก ซึ่งมีขนาด 68 ปอนด์ยัน เบาแบบ 3 ปอนด์ (ตามน้ำหนักกระสุน) กระสุนที่ใช้มีหลายแบบขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการยิง

Source :https://patr.io/azpo3

เรือรบสเปน นูเอสตร้า ซิญญอร่า เด ลา ซานติสซิม่า ตรินิดาด ปัจจุบันได้จมลงแล้ว

Source : https://patr.io/gUahZ

เรือหลวงวิกตอรี ปัจจุบันยังคงจอดอยู่ที่เมืองท่า พอร์ทสมัธ ในอังกฤษ และยังคงประจำการอยู่ในฐานะ พิพิธภัณฑ์

1.Round Shot หรือ ลูกเหล็กธรรมดา เป็นกระสุนแบบมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปมันคือลูกเหล็กกลมๆ ที่มีจุดประสงค์ไว้ทำลายโครงสร้างเรือ ตัวเรือ เมื่อมันกระทบกับไม้แล้วจะทำให้แตกออกกลายเป็นสะเก็ดทิ่มแทงลูกเรือฝั่งตรงข้าม และสามารถยิงได้ในระยะไกลสุด 1,200 หลา

Source : https://patr.io/cxSRE

2.Anti – Rigging Shot หรือ Chain Shot กระสุนลูกโซ่ โดยมันเป็นกระสุนปืนใหญ่ 2 ลูกที่ผูกติดกันด้วยโซ่ หรือเมื่อยิงแล้วจะแตกออกเป็น 2 ส่วนโดยมีเหล็กยาวๆ เชื่อมกัน ระยะยิงของมันจะใกล้กว่า Round Shot แต่มันจะเน้นความเสียหายที่ ใบเรือ หรือ เสากระโดงเรือของข้าศึก

Source :https://patr.io/MO0rv

3.Canister หรือ Grape Shot กระสุนลูกปราย มีระยะยิงราวๆ 300 หลา คือต้องยิงเมื่อเรือเข้าใกล้กัน เป็นกระสุนที่ยิงแล้วจะแตกออกเป็นลูกปรายเล็กๆ หลายร้อยนัด บางครั้งอาจจะยิงเป็นเศษตะปูหรือกระจกเอาไว้สังหารบุคคลบนเรือฝั่งตรงข้ามโดยเฉพาะ

Source : https://patr.io/FnlCm

นอกจากปืนใหญ่ที่ติดต้องข้างกราบแล้วยังมีปืนใหญ่แท่นหมุนที่เรียกว่า “Swivel Gun” ซึ่งส่วนใหญ่มักจะติดบนชั้นดาดฟ้าของเรือเป็นปืนใหญ่ขนาดเล็กที่เอาไว้ยิงระยะใกล้เพื่อสังหารบุคคลเมื่อเรือทั้ง 2 ลำเข้ามาในระยะใกล้เพื่อเตรียมเทียบกัน หากจะว่าไปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 – 19 ส่วนใหญ่แล้วการรบจะเน้นการยึดเรือข้าศึกมากกว่าทำลายข้าศึกดังนั้นการเทียบเรือฝั่งตรงข้ามจึงเกิดบ่อยมาก!!  

 

หลังจากสงครามนโปเลียนจบลงอังกฤษกลายเป็นมหาอำนาจทางทะเลอันดับ 1 แต่เพียงผู้เดียว และไม่นานนักยุคของเรือไอน้ำและเรือเหล็กก็ได้เริ่มถือกำเนิดขึ้นทำให้ เรือแนวเส้นประจัญบานเริ่มเสื่อมความนิยมลง ทำให้เกิด เรือรบประเภทใหม่ขึ้นมาที่เรียกว่า เรือประจัญบานหรือ “Battle Ship” เข้ามาแทนที่เรือแนวเส้นประจัญบาน และกลายเป็นผู้ครองสมุทรแทนเหล่าเรือรบไม้ยุคเก่าที่ตกกระป๋องตามยุคสมัย ส่วนวิธีการรบแบบแถวประจัญบานยังคงมีต่อไปจวบจนสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นการปิดฉากทั้งเรือรบและวิธีการรบแบบยุคเก่าอย่างถาวร 

Source : https://patr.io/emSsf

เรือรบเหล็ก “Ironclad” ที่เริ่มเข้ามาแทนที่ เรือแนวเส้นประจัญบาน ที่เป็นไม้