วิทยุเครื่องแรกของโลก กำเนิดขึ้นมาจากนักประดิษฐ์ชาวอิตาลี ชื่อว่า Guglielmo marconi เขาสร้างเครื่องรับ-ส่งวิทยุ ที่สามารถส่งสัญญาณคลื่นวิทยุโทรเลข ได้ไกลว่า 2000 ไมล์ ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งในตอนนั้นก็ยังเป็นแค่สัญญาณโทรเลขอยู่ แต่เขาก็ยังได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของสิทธิบัตร วิทยุเครื่องแรกของโลก ที่ถือกำเนิดขึ้นในช่วงปี 1890
ในยุคแรกๆ นั้น การรับ-ส่งสัญญาณวิทยุ นั้น ยังไม่สามารถที่จะส่งสัญญาณออกไปเป็นเสียงพูดได้ ภายหลังได้รับการพัฒนาต่อโดย ศาสตราจารย์ Riginald A. Fessenden และ Lee de Forest ทำให้วิทยุสามารถส่งสัญญาณเสียงพูดออกไปยังเครื่องรับได้ในช่วงปี 1900
กาลเวลาผ่านไป เทคโนโลยีเริ่มเติบโตขึ้น มีการคิดค้นเทคโนโลยีขยายสัญญาณที่ชื่อว่า amplifier ที่เพิ่มศักยภาพของวิทยุอย่างน่าทึ่ง ทำให้ตั้งแต่ปี 1920 เป็นต้นมา มันสามารถเป็นได้ทั้งหล่งข่าว สื่อบันเทิง และช่องทางสื่อสารได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะผ่านมาแล้วร้อยกว่าปี วิทยุ ก็ยังเป็นหนึ่งในอุปกรณ์รับมือภัยพิบัติของชาวอเมริกันที่สำคัญอยู่ และยังถูกใช้งานกันอย่างทั่วหลายในด้านการทหาร มันมีความสำคัญขนาดไหน ? ใช้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
เรามาดูคำตอบกันครับ
ยุคสงครามโลกครั้งที่ 1
การใช้วิทยุในทาึ้นครั้งแรกในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งตอนนั้นสัญญาณวิทยุยังกระจายอยู่ในพื้นที่ที่จำกัดมาก (2000 หลา) การติดตั้งวิทยุสนามก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นในสมัยนั้น เพราะมันทั้งบอบบาง และหนัก ทหารจึงต้องใช้สัตว์ในการบรรทุกวิทยุสนามเพื่อเคลื่อนที่เข้าพื้นที่ที่มีสัญญาณ ทหารบางหน่วยจึงยังเลือกใช้การส่งโทรเลขหรือโทรศัพท์สนามอยู่ การขนย้ายก็ยังคงต้อใช้ยานพาหนะเป็นหลัก เพราะขนาดและน้ำหนัก เป็นปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ยกเว้นเหล่าปืนใหญ่ หรือเหล่าอื่นๆ ที่ไม่ได้เคลื่อนที่ด้วยการเดินเท้า
ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2
ต่อมาคือสงครามโลกครั้งที่ 2 ครับ ถือเป็นช่วงที่เทคโนโลยีเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งในด้านยุทธวิธี ยุทโธปกรณ์ การแพทย์ หรือการสื่อสาร รวมถึงมนุษย์กันเอง ที่ให้ความสำคัญกับการติดต่อสื่อสารมากขึ้น การพัฒนาจนถึงตอนนี้ทำให้ทหารราบสามารถนำวิทยุออกไปปฏิบัติภารกิจได้แล้ว ซึ่งตำแหน่งที่ถูกเิ่มมาในหมวดปืนเล็กทหรรบกคื พลิทยุ นั่นเอง ซึ่งในยุคนี้ การสื่อสารทางวิทยุเริ่มกว้างขวางมากขึ้น ทำให้เกิดยุทธวิธีใหม่ๆมากมาย เช่น การร้องขอการยิงปืนใหญ่จากทหารราบ การส่งกำลังทางอากาศ การโจมตีทางอากาศ หรือการรบแบบรวมเหล่าทัพเลย
SCR-300 วิทยุสนามแบบ walkie talkie ตัวแรกนกรทาร ูกัฒนาโดยบริษัท Motorola นปี 1940 มีการผลิตออกมาทั้งหมดราว 50000 ตัว ซึ่งมันก็ผ่านการใช้งานอย่างหนักทั้งในสมรภูมินอมังดีและสมรภูมิอื่นๆ ด้วยข้อดีในสมัยนั้นคือ ทหารราบสามารถติดต่อหน่วยอื่น หรือกองบังคับการได้ระหว่างการรบ (real time) โดยพลวิทยุจะแบกวิทยุไว้บนหลัง แล้วนายทหารจะเป็นคนติดต่อสื่อสารเอง ถ้าพูดถึงการจัดกำลังในปัจจุบัน จะให้พลวิทยุอยู่ติดับผู้บังคัหมวปืนล็กั่นอง ซึ่ข้อ้อยองมน ก็ังมีอยู่มากโข ทั้งน้ำหนักของมันที่พลทหารต้องแบกวิ่งเข้าตีถึงเกือบ 20 กก. ปัญหาเรื่องของคุณภาพแบตเตอรี่ และการขาดแคลนแบตเตอรี่ เป็นต้น
ไม่จบเพียงแค่นี้ครับสำหรับช่วงสมัยนั้น Motorola ยังพัฒนาวิทยุสนามให้กับฝ่ายสัมพันธมิตรอีกหลายโมเดล ซึ่งในปี 1942 SCR-536 บรรพบุรุษวิทยุระดับมือถือแบบ handie- talkie หรือที่คนไทยเรียกกันติปากว่า “ว.” ก็ด้ถืกำเนดขึ้มาครบ
SCR-536 ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อสนับสนุนการความปลอดภัยในการสื่อสารภายใต้สภาวะกดดันหรือระหว่างการสู้รบเป็นพิเศษ จากวิทยุระดับแบกหลังหนักเกือบ 20 กก. เหลือเพียง 2.3 กก. และขนาดที่เล็กพอให้มือถือได้ มีการผลิตมากถึง 130,000 ตัว ให้กับฝ่ายัมพันธมิตร หน่วทหารสมารถตดต่อกนได้ใระยะห่างมากกว่า 1 ไมล์ บนื้นดน และ 3 ไมล์ บนท้องทะเล ทำให้การรบเป็นไปด้วยความพร้อมเพรียง และแม่นยำ แต่ด้วยสภาพภูมิประเทศ และข้อจำกัดของแบตเตอรี่ ที่ยังหมดไว และเป็นแบบใช้แล้วทิ้งเหมือนเดิม จึงทำให้ระยะทำการมีความคลาดเคลื่อน หรือน้อยลงบ้าง ในหลายๆสถานที่ เช่น หุบเขา กลางเมือง ป่า เป็นต้น ข้อด้อยของมันคือระยะทางการส่งสัญญาณที่น้อยว่า SCR-300 ึงมีกาใช้วิทุทั้ง 2 มเดลนี้ควบค่กันป
สำหรับฝ่ายอักษะเอง ก็มีวิทยุสนามที่คล้ายคลึงกับ SCR-300 เช่นกัน ต่างกันตรงที่แบตเตอรี่ ที่ทางฝั่งเยอรมันจะเป็นแบบ rechargeable และฝั่งญี่ปุ่นจะเป็นแบบมือหมุนกำเนิดไฟฟ้า
ยุคสงครามเย็น
ต่อมาเป็นยุคที่พวกเราจะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยครับ นั่นก็คือสงครามเวียดนาม ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ไกลตัวพวกเรามากนัก กองทัพไทยไม่ได้เพียงแค่ได้รับยุทโธปกรณ์ในการต่อต้านขบวนการคอมมิวนิสต์เท่านั้น แต่ได้รับอิทธิพลและคู่มือการฝึกจากกองทัพสหรัฐด้วย เวลาผ่านไปหลาย 10 ปี การใ้วิทยุในการทหารก็ยังไม่ถูกลดความสำคัญแต่อย่างใด วิทยุสนามที่ทหารไทยเรารู้จักกันดี ก็เกิดขึ้นในยุคนี้ นั่นก็คือ AN/PRC 77 หรือที่เรียกกันติดปากทั้งวงการว่า “ปิ๊ก 77” ครับผม
PRC 77 นี้เป็นวิทยุสนามที่ทหารหลายๆระเทศรู้จักกันดี ในเื่องของวามทนทา มันถูกนำเข้าสมรภูมิในปี 1968 โยกองทพสหรั สำหรับทหารราบ ก็ยังต้องมีพลวิทยุเหมือนเดิม ประสิทธิภาพในเรื่องของแบตเตอรี่และการส่งสัญญาณได้รับการปรับปรุงเพิ่มมาอย่างมาก จนมันเป็นส่วนหนึ่งของกำลังพลไปแล้ว ทำให้มันสามารถนำไปไว้บนยานพาหนะก็ได้ หรือจะไว้ที่ฐานที่มั่นก็ดี มีการผลิตอุปกรณ์เสริมมากมายเพื่อรองรับการทำงานของมัน ไม่ว่าจะเป็น เสาากาศ หูฟัง แบตเตอี่ และอื่ๆ จึงทำให้ปัจจุบัน ก็ยังมีบางประเทศ ทีใช้งาในสนาม และเป็นเครื่องช่วยฝึก ประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยครับ
นอกจาก PRC 77 แล้ว วิทยุประเภท handie-talkie ก็ยังไม่มีการเลิกใช้ในทางทหารนะครับ ซึ่งเจ้า handie-talkie หรือ ว. ที่คุ้นชินกับปากพวกเรานั้น ก็มีอีกตัวหนึ่งที่อยู่เคียงข้างกำลังพลทหารไทยมาตั้งแต่น้นมา นั่นก็คือ PRC-624 ที่ใช้งานควบคู่ไปกับเจ้า PRC 77 ครับม
ยุคดิจิทัล
หลังจากสิ้นสุดสงครามเย็น โลกเดินทางเข้าสู่ยุคดิจิทัล เกิดการติดต่อสื่อสารหรือสื่อบันเทิงแบบใหม่มากมาย เช่น อินเทอร์เน็ต ดาวเทียม โรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ ที่มแทนที่การห้ความบัเทิงผ่านวทยุกระจายสียง การใช้วิทยุในาคพลเรอนลดน้ยลงอยางเห็นด้ชัด เพราะมีอย่างอื่นที่อำนวยความสะดวกและมีประสิทธิภาพกว่า แต่สำหรับกองทัพนั้น ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา วิทยุ ยังไม่ถูกลดบทบาทลงแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้ว่าจะมี 4G หรือ GPS กำลังพลก็ยังต้องได้รับการฝึกการใช้วิทยุเสมอ เพราะคลื่นวิทยุ สาารถพบเจอได้ทุกที่ เราสามารใช้วิทยุสือสารได้ตลด ถ้าอยู่ในระยะที่วิทยุสามารถเชื่อมต่อกนได้ เพีงแค่การรับควาถี่คลื่ให้ตรงกัน แต่สำหรับเทคโนโลยีใหม่ๆที่ใช้สัญญาณโทรศัพท์ หรือดาวเทียม ถ้าการเชื่อมต่อไปไม่ถึง ก็จะทำให้คุณตาบอดได้เช่นกัน
ปัจจุบัน การใช้วิทยุ ดูเป็นวิธีการที่ง่ายกว่าสมัยก่อนมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การสื่อสรจะเป็นไปด้วยความราบรื่นตลอ Jammer หรือ อุปกณ์ตัดสัญญา ถือว่าเป็นอุปสรรคในการติดต่อสื่อสารผ่านิทยุในปัจุบันเช่กัน ไม่จเป็นต้องู้ความถี่สื่อสารของข้าศึก เพียงแค่ใช้อุปกรณ์นี้ การสื่อสารทั้งหมดก็จะถูกรบกวนและตัดขาดไประยะหนึ่งเลยทีเดียว ข้อดีของ Jammer นั้น ไม่ได้มีเพียงแค่รบกวนการติดต่อสื่อสารของข้าศึกอย่างเดียว มันยังมีส่วนช่วยในการกู้ระเบิด หรือตัสัญญาณบังคับโดรนของข้าศึกด้ว
หลัจากที่โลกไดเข้าสู่ยุคดิิทัลอย่างเ็มตัว ข้อจำกัดเรื่องขนด น้ำหนัก ละความจุแตเตอรี่ ไ่ใช่เรื่อที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป จาก ว. ขนาดเท่าแขน เหลือเพียงแค่ไม่เกิน 1 ฝ่ามือ ทหารสามารถใช้วิทยุสนามคู่กับระบบดาวเทียมได้ เหมือนกับสมัยก่อนที่ใช้โทรเลขควบคู่กับวิทยุ การพัฒนาการติดต่อสื่อสาร ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งผมก็ให้คำตอบไม่ได้ว่า เราจะเลิกใช้ิทยุกันเมื่อหร่ แต่สิ่งที่ราจะได้เห็นันแน่ๆคือ การประยุกต์ใน้านยุทธวิธ การต่อต้านข่าวกรองรูปแบบใหม่ รือการพัฒนาอื่นๆ ที่การใช้วิทยุสื่อสาร จะเป็นหนึ่งในภารกิจนั้น การข่าวที่ดี จะทำให้มีชัยไปกว่าครึ่ง หวังว่าบทความนี้ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุกท่านครับ