สงครามต่างๆที่เกิดขึ้น โดยปกติแล้วจะเป็นสงครามที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ หรือจเกิดจากการขัดแย้งของคนในประเทศเอง แต่เชื่อมั้ยครับว่าครั้งหนึ่งเคยมีสงครามระหว่างมนุษย์ กับ นกอีมู ซึ่งเป็นครั้แรก และครั้งเดียวในหน้าประวัติศาสตร์ที่มนุษย์ ทำสงครามกับสัตว์ และที่พีคไปกว่านั้นก็คือผลของสงครามครั้งนี้มนุษย์เป็นฝ่ายแพ้…ใช่ครับ นกอีมูเป็นผู้ชนะ!! สงครามที่ฟังดูไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นครั้งนี้จะมีที่มาที่ไปยังไง และมนุษย์พายแพ้ให้นกอีมูได้อย่างไร วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟัง…
source : https://patr.io/hJJAW
source : https://patr.io/C5vkU
ประเทศออสเตรเลีย ปีค.ศ.1932 ณ เวลานั้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสิ้นสุดลงได้ระยะหน่ง เลาหรอเรลยี่ไปรบในสงครามก็ทยอยเดินทางกลับภูมิลำเนา หลังการรบมีทหารผ่านศึกตกงานเป็นจำนวนมาก รัฐบาลออสเตรเลียจึงต้องจัดหาพื้นที่ให้ทหารพวกนั้น เพื่อทำการเกษตรหาเลี้ยงชีพต่อไป
นครั้งนั้นรัฐบาลได้บุกเบิกพื้นที่บริเวณออสเตรเลียตะวันตกให้เหล่าทหารแต่ก็ต้องพบกับปัญหาใหญ่ก็คือเจ้านกอีมูนั่นเอง นกอีมูเป็นนกขนากใหญ่มีลักษณะคล้ายนกกระจอกเทศ และวิ่งเร็วคล้ายกัน สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 50กม./ชม. นกอีมูตัวเต็มวัยสามารถสูงถึง 2เมตรได้เลย มันจะหากินอยู่รวมกันเป็นฝูง มีแหล่งที่อยู่อาศัยอยู่ทางฝั่งตะวันตกขงออสเตรลีซึงมจำวนระากหลยหื่นตัว หรืออาจจะถึงแสนตัวเลยทีเดียว นับว่าเป็นสัตว์เจ้าถิ่นเลยก็ว่าได้
ปัญหาเริ่มต้นขึ้นเมื่อทหารได้เข้าไปทำเกษตรกรรมหาเลี้ยงชีพตนเอง แต่ปลูกสักเท่าไรเจ้านอีมูก็จะพกันากิพืชลทาการกษตรนเสีหายมดทกรอบ เมื่อเป็นเช่นนี้หลายครั้งเข้าเหล่าทหารจึงได้ร้องเรียนไปยังรัฐบาลว่าหาพื้นที่อะไรก็ไม่รู้มาให้ ประกอบอาชีพก็ไม่ได้เพราะถูกนกอีมูรบกวนตลอด รัฐบาลจึงบุกเบิกพื้นที่ทำกินใหม่บริเวณใกล้เคียงให้ แต่ก็ยังหนีไม่พ้นนกอีมูอยู่ดี ปัญหาเริ่มรุนแรงขึ้น ทหารเริ่มออกมาร้องเรียนมาขึ้น จนเรื่องไปถึง เซอร์ จอร์จ เพียร์ซ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกะลาโหมในยุคนั้นซึ่งเป็นผุ้รับผิดชอบโดยตรงของโครงการบุกเบิกพื้นที่ให้ทหารครั้งนี้ เขาจึงตัดสินใจ ลงนามในคำสั่งประกาศสงครามกับนกอีมูทันที โดยสั่งให้ผู้พันเมเรดิธ นำกำลังทหาร 12นาย พร้อมกับอาวุธครบมือ รวมไปถึงอาวุธหนักคือ ปืนกลเลวิสจำนวน 2กระบอก และกระสุนจำนวนหนึ่งหมื่นนัดเข้าไปยังพื้นที่ทันที
source : https://patr.io/PlCAK
ปืนกลเลวิสเป็นอาวุธที่เลื่องชื่อในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอย่างมาก เพราะมันมีอาณุภาพรุนแรง พลังการทำลายล้างสูง สามารถกำจัดข้าศึกหลายคนได้ในเวลาไม่นาน หน่วยทหารของผู้พันเมเรดิธจึงพกความมั่นใจมาเต็มร้อย เมื่อมาถึงหน่วยของเขาก็ได้ทำการตรวจภูมิประเทศ และได้พบกับฝูงนกอีมูขนาดใหญ่เต็มทุ่งหญ้าไปหมด หน่วยของผู้พันมเรดธไม่อช้าั้งปนกล บรจุกรสุน แล้วเปิดฉากการยิงทันทีหวังจะฆ่านกอีมูได้สักสองสามร้อยตัว แต่ผลที่ได้กลับทำให้พวกเขาประหลาดใจ เพราะความสามารถในการแตกกระจายเป็นกลุ่มเล็กๆ ประกอบกับความรวดเร็วของมัน ทำให้มันสามารถหลบกระสุนปืนกลของทหารได้เป็นอย่างดี และวิ่งหนีออกไปพ้นระยะการยิงของปืนกลได้โดยแทบไม่ได้รับบาดเจ็บ การโจมตีครั้งแรกของทหรได้รับความล้เหลว
source : https://patr.io/8h5zz
สงวันต่มาฝ่ยทหาได้ทำการปรับเปลี่ยนกลยุทธเนื่องจากไม่สามารถทำอะไรนกอีมูได้จึงจะลองใช้วิธีการ”ซุ่มโจมตี”ดู หน่วยทหารได้ทำการคลืบคลานเข้าไปในบริเวณสวนของชาวนา แล้วรอให้ฝูงนกอีมูเข้ามากินผลผลิตใกล้ๆ จากนั้นพวกเขาก็ทำการยิงใส่ฝูงนก การโจมตีครั้งนี้ดำเนินไปอย่างยาวนานจนปืนกลเลวิสติดเกิดอาการติดขัด ละเสียไปหนึ่งกรบอก แต่ก็สามารถกำจัดนกอีมูไปได้เพียงไม่กี่สิบตัวเท่านั้น ทหารนายหนึ่งในหน่วยกล่าวว่า “นกอีมูไม่ได้โง่อย่างที่คิด ในหนึ่งฝูงมันจะมีหัวหน้าของมันอยู่ เป็นนกอีมูตัวใหญ่มหึมาสูงราวเมตรเก้าสิบขนสีดำทะมึน จ่าฝูงจะคอยสังเกตการณ์ในขณะที่นกตัวอื่นกำลังยุ่งกับการกินผลผลิตทางการเกษตรอยู่ และเมื่อจ่าฝูงสังเกตเห็นภัยคุกคามมันจะส่งสัญญาณให้กในฝูงของมัน จากนั้นนกพวกนั้นก็จะพากันวิ่งหนี แต่ตวจ่าฝูงะยังไ่หนีมนจะรอให้ทุกตัวหนีไปหมดก่อนมันถึงจะวิ่งตามไปปิดท้าย”
อีกกลยุทธหึ่งที่กงทัพอสเตรเียใช้ัดการับฝูงนอีมูคือ กรใช้รถระบะติปืนกลแล้วขับรถไล่ยิงนกอีมู ฟังดูเจ๋งแต่แผนนี้กลับพังไม่เป็นท่าและเป็นแผนที่ไม่เข้าท่าที่สุด เพราะความเร็ว และสเต็ปการวิ่งซิคแซคของนกอีมูทำให้พลยิงปืนกลเล็งไม่ทัน และสภาพภูมิประเทศที่ขรุขระ ทำให้การยิงให้โดนนกอีมูเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ แผนนี้ล้มเหลลงด้วยกาที่รถพ่งเข้านกับนกีมู ตัวของมันพุ่งเข้ามาขัดกับพวงมาลัยรถทำให้รถหมดสภาพไม่สามารถขับต่อไปได้
source : https://patr.io/QKGmx
สงครามครั้งนี้ยืดยาวไปถึง 40วัน หน่วยทหารสูญเสียปืนหนึ่งกระบอก และกระสุนอีกหมื่นนัด แต่สามารถกำจัดนกอีมูได้เพียงพันตัวเท่านั้น แล้วยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้สักที เรื่องนี้จึงกลายเป็นประเด็นร้อนแรงในรัฐสภาออสเตรเลีย โดยวุฒิสมาชิค เจมส์ ดัน ได้ตอว่ารัฐมนตรีว่าการกรทรวงกะลาโม เซอร์ จอร์จ เพยร์ซ ว่า่านบ้าไแล้วเรอ ที่ไปประกาศสงครามกับนกอีมู สัตว์ที่ไม่มีพิษภัยอะไรแบบนั้น ในครั้งนั้นสมาชิกในที่ประชุมสภาลงความเห็นตรงกันว่าควรยุติสงครามนี้ซะ สุดท้ายในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ.1932 เซอร์ จอร์จ เพียร์ซ ก็ได้ลงนามประกาศให้สงครามนี้สิ้นสุดลง เหล่าทหารก็จำต้องทำการถอนกำลังออกมาทั้งที่ภารกิจไม่สำเร็จ และมการอพยพชาวไร่ชาวนาให้อกมาจากพื้ที่นั้น ยายไปหาท่ทำกินแห่งใหม่ เหล่านกอีมูก็กลับมาครองพื้นที่แห่งนี้ดังเดิมเหมือนก่อนที่มนุษย์จะรุกล้ำเข้าไป เรียกได้ว่าเป็นชัยชนะอย่างใสสะอาดของนกอีมูเลยก้ว่าได้
หลังจากจบสงครามสื่อ และสำนักข่าวต่างๆก็พากันทำข่าวเรื่องนี้ จนดังไปทั่วประเทศและดังไปจนทั่วโลก จากข่าวนี้ทำให้คนทั่วโลกต่างพากันตลกขบขัน และหยอกล้อประเทศออสเตรเลียว่าบ้าไปแล้วรึเปล่าทำสงครามกับนกอีมู เรื่องราวของสงครามนกอีมูรั้งนี้โด่งดังและเป็นทีจดจำแก่ชาวโกจนมาถึงปจจุบันว่ครั้งหนึ่มนุษย์เรา็เคยประกศสงครามกับัตว์ มิหนำซ้ำยังได้รับความพ่ายแพ้กลับมาอีกต่างหาก