X

แก๊สมัสตาร์ด อาวุธที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

แก๊สมัสตาร์ด อาวุธที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์
สงคราม ทำให้เกิดการเอาชนะและการแข่งขันระหว่างกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากมาย ซึ่งทำให้วิศวกรรมและเทคโนโลยีพัฒนาขึ้น
อย่างก้าวกระโดด เพราะทุกฝ่ายต่างตอักยภาพของตัวเองเพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้าม แต่ก็ต้องแลกมาด้วยชีวิต
มากมายนับไม่ถ้วน และเพื่อชัยชนะ มนุษยธรรมจึงไม่ใช่ข้ออ้างในการปราณีต่อข้าศึก
การสร้างเทคโนโลยีใหม่ นวัตกรรมใหม่ หรือ อาวุธใหม่และอาวุธที่ขึ้นชื่อว่า เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ก็คือ แก๊สมัสตาร์ด

source : https://patr.io/KQTYP

แก๊สมัสตาร์ดได้ถูกพัฒนาขึ้นมาในปี1822 ซึ่งมีความเป็นมาที่ไม่ชัดเจน แต่ประสิทธิภาพของมัน ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จาก
ผลงานรุ่นก่อนหน้าจนกระทั่งประเทศเยอรมนีสามารถนำมาใช้ในสงครามโลกครั้งที่1 กับกองทหารอังกฤษและแคนาดาใน
เบลเยียม ทำให้ทหาเสียชวตาก่ 6,000 า ึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้อาวุธเคมีในสงครามของทุกฝ่าย

source : https://patr.io/GOy7S
ภาพจากหนังสือพิมพ์ที่ประณามการใช้แก๊สของเยอรมันในสงครามที่คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปมากมาย

แก๊สมัสตาร์ด มีอีกชื่อว่า sulfur mustard สาเหตุที่เรียกเช่นนี้ ก็เพราะว่าแก๊สมีกลิ่นฉุน และมีสีเหลืองเหมือนมัสตาร์ด
สูตรเคมีของมันคือ bis(2-chloroethyl)sulfide ประกอบด้วย อีเทอร์ ไขมัน แอลกอฮอล์ เบนซีน

และสารประกอบอินทรีย์ THF มีคุณสมบัติละลายน้ำได้เล็กน้อย
ความรุนแรงของแก๊สมัสตาร์ดนั้นหากได้รับในปริมาณน้อยจะเกิดการระคายเคืองต่อระบบอาหารและทางเดนหายใจ มีากรไ
จา ถ้าได้รับในปริมาณที่มากจะมีอาการที่รุนแรงขึ้น มีอาการบวมแดงที่ผิวหนัง ผิวหนังพุพอง ท้องเสีย หายใจติดขัด ระบบ
หายใจล้มเหลวและเสียชีวิตในที่สุด

การรักษาทำได้เพียงรักษาตามอาการเท่านั้น แม้รอดชีวิตมาได้ร่างกายก็จะไม่ปกติดังเดิม
แม้จะใส่เสื้อแขนยาวขายาวผ้าหนาก็ไม่สามารถป้องกันได้ซึ่งต่างจากแก๊สน้ำตา

source : https://patr.io/dDmZn
ภาพของเหยื่อที่ได้รับแก๊สมัสตาร์ด มันทำให้ผิวหนังของเขาพุพองและเป็นแผลไหม้ไปทั้งตัว
แก๊สมัสตาร์ดสามารถอยู่ในอากาศได้นานเป็นสัปดาห์ แก๊สของมันจะเกาะเสื้อผ้าของของเหยื่อ คล้ายกับแก๊สน้ำตา เมื่อผู้ที่ได้รับ
แก๊สได้มาใช้พื้นที่ร่วมกับคนอื่น ็ะสมาถทำให้เกิดการแพร่ของพิษได้เช่นกัน ทำให้หน่วยเสนารักษ์ในสมัยก่อนรับมือ
ค่อนข้างยาก เพราะทหารจะทำให้พยาบาลติดพิษไปด้วย
แก๊สมัสตาร์ดถูกพัฒนามาใช้ทั้งหมด 3 แบบด้วยกันคือ

– Sulfur mustard
– O-Mustard พัฒนาโดยประเทศอังกฤษ ความหนาแน่นมากกว่า มีพิษรุนแรงกว่าแก๊สมัสตาร์ดปกติ 3 เท่า และจ
อยู่ได้นานในท่ทีอากศร้น
– Sesquimustard ป็ของข็ง ีพิษร้ายแรงกว่าแก๊สมัสตาร์ดปกติ 5 เท่า

แก๊สมัสตาร์ดในยุคแรกจะมาในรูปแบบกระป๋อง ซึ่งต่อมาก็ถูกนำมาใช้ในรูปแบบอื่นอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น แบบระเบิดจาก
อากาศสู่พื้น กับดักระเบิด กระสุนปืนใหญ่ และจรวด ทำให้มันน่ากลัวขึ้นเป็นอย่างมาก เพียงแค่ตัวแก๊สอย่างเดียว หน้ากากกัน
แก๊สก็ยังไม่สามารถช่วยไ้ 100% เหมือนแก๊สน้ำา

source : https://patr.io/cIOCT

ทหารจีนที่กำลังถือกระป๋องแก๊สมัสตาร์ดของกองทัพญี่ปุ่นในสงครามจีน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 2 ในปี 1943 (Battle of Changde)

source : https://patr.io/zzWGv
กระสุนปืนใหญ่ของกองทัพเยอรมันในสงคราม ซึ่งลำดับที่ 4 คือกระสุนแก๊สมัสตาร์ด

source: https://patr.io/XCL8N

ภาพตัดกระสุนแก๊สมัสตาร์ดของกองทัพเยอรมัน

source : https://patr.io/Gb0e3

หรอจะเป็นแก๊สมัสตาร์ดในรูปของกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มม.

ในปัจจุบันผลจากการใช้แก๊สมัสตาร์ดและอาวุธเคมีอื่นๆ ของสงครามในอดีตทำให้เกิดสนธิสัญญาที่กรุงเจนีวาโดยชาติมหาอำนาจได้จับ
มือกันทำข้อตกลงว่าจะไม่นำอาวุธเคมีมาทำสงครามกันอีก แต่ในปัจจุบันพวกเราก็ยังมีการใช้อาวุธเคมีอยู่บ้าง และสารเคมี
หลายตัวก็ถูกห้ามใช้หรือมีการตรวจสอบที่เข้มงวมากๆ เพื่อป้องกันการผลิตอาวุธเคมีนั่นเอง

อนุสัญญาเจนีวา สนธิสัญญาระหว่างประเทศที่มีสาระสำคัญในเรื่องกฎเกณฑ์ที่จำกัดวิธีการอันทารุณในการทำสงคราม
อนุสัญญานี้ จะปกป้องคุ้มครองเหล่าผู้ที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการสู้รบ เ่น พลเรือน, บุคลากรทางการแพย์และ กลุ่มผู้ทำงาน
พือกาช่วยหลือ่าง ๆ

ซึ่งรวมทั้งผู้ที่ไม่สามารถร่วมการสู้รบได้อีกต่อไปด้วย
สำหรับในประวัติศาสตร์ไทยนั้น ยังไม่มีการใช้แก๊สมัสตาร์ดในการสงครามหรือจุดประสงค์อื่นแต่อย่างใด และโอกาสที่เกิด
สงครามอาวุธเคมีในโซนบ้านเรานั้น เป็นไปได้ยากจนถึงขั้นเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว การใช้อาวุธเคมีใปัจจุบันนั้นจะทำให้คนทั้งโล
ประนามการกระทำของพวกเราอย่างหนักหน่วง และเราเองก็ไม่ใช่มหาอำนาจที่จะกล้าได้กล้าเสียขนาดนั้น ขอให้พวกเราทุกคน
ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกกับภัยคุกคามนี้มากนัก ให้พวกเรารับมือกับภัยคุกคามในรูปแบบของโรคระบาดในปัจจุบันให้
ปลอดภัยกันทุกคนดีกว่าครับ รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ ขอบคุณครับ