ในช่วงยุคคริสต์ศตวรรษที่ 18 อาวุธของทหารราบที่ทันสมัยที่สุดของหนีไม่พ้น ปืนคาบศิลาหรือ Flintlock Musket ซึ่งใช้หินคาบศิลาเป็นตัวจุดชนวน ซึ่งหากจะว่าไปอาวุธนี้ก็เป็นที่ใช้กันอย่างกว้างขวางทั่วยุโรปจนกระทั่งถูกแทนที่ด้วยระบบแก๊ปกับลูกเลื่อนสำหรับระบบปืนคาบศิลานั้นถูกคิดตั้งแต่ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 แต่มาแพร่หลายจริงๆในช่วงสงครามสืบสันติวงศ์สเปน ช่วง ค.ศ.1703 – 1714 สำหรับฝรั่งเศสรัฐมหาอำนาจที่ขึ้นชื่อว่ามีกองทัพบกที่แข็งแกร่งสุดในยุโรปได้มีการผลิตอาวุธชนิดนี้ขึ้นเอง ยังไม่พอเขาอยากแจกจ่ายขายให้ต่างชาติ นำไปผลิตเองอีกด้วยนับว่า อาวุธของฝรั่งเศสกลายเป็นมา้งยุโรป ซึ่งฝรั่งเศสเรียกปืนนี้ว่า ปืนคาบศิลา แชร์เลอวิล
ปืนคาบศิลา แชร์เลอวิล
source : https://patr.io/1VIMv
มันถูกประดิษฐ์ขึ้นใน ค.ศ.1717 สำหรับรุ่นแรกนั้นจะมีขนาดลำกล้อง 0.69 นิ้ว ความยาวตั้งแต่ปากลำกล้องยันาน้ยื 62.5 ิว น้ำหนัก 10 ปอนด์ สำหรับไม้ที่ทำตัวปืนใช้ไม้วอลนัททำให้มีอายุการใช้งาน 10 ปี ด้วยความที่น้ำหนักเบากว่าและขนาดลำกล้องที่เล็กกว่าปืนรุ่น บราวส์ เบส (Brown Bess) ของอังกฤษทำให้มันขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพที่ดีกว่าและได้รับความนิยมมากกว่า นอกจากนี้มันยังได้รับการดัดแปลงให้สามารถติดดาบปลายปืนมีความยาว 15 นิ้วได้ ทำให้มันสู้ระยะประชิดได้ สำหรับการยิงปืนรุ่นใ้กรสุทีมีส้ผานูน์ลง 0.63 นิ้ว ยัดใส่ในถุงกระดาษบรรจุกระสุนซึ่งบรรจุดินปืน 20 ออนซ์ เมื่อยิงออกไปแล้วกระสุนทำความเร็วได้ 1,200 ฟุตต่อวินาที น้อยกว่ากระสุนในยุคปัจจุบัน 3 เท่า โดยขั้นตอนการบรรจุที่เยอะ (ตามปกติของปืนยุคนั้น) ทำให้เฉลี่ยแล้วทหารยิงปืนได้ราวๆ 3 นัดต่อนาที
ซึ่งด้วยความที่มีอายุการใช้งานค่อนข้างนานทำให้มันได้รับความนิม อย่างไรก็ตาม ืนคบศลา แร์เอวว ก็มีการพัฒนาออกแบบมาหลายรุ่นตลอดยุครุ่งเรื่องของมัน สำหรับรุ่นแรกปี 1717 ถูกผลิตมาแค่ราวๆ 48,000 กระบอกเท่านั้น รุ่นต่อมารุ่นปี 1728 ได้มีการพัฒนาใช้ห่วงเหล็กยึดลำกล้องปืนให้มั่นคงยิงขึ้น และยังทำให้ติดดาบปลายปืนง่ายขึ้น และที่ตัวล๊อคชนวนคาบศิลามีการใช้สปริงซึ่งไว้ใจได้มากกว่าเดิม รุ่นนี้มีการผลิตออกมาราวๆ 375,000 กระบอก
ทหารราบฝรั่งเศสกับปืนคาบศิลา
source : https://patr.io/hOxlH
รุ่น 1763 ทำให้พานท้ายปืนสั้นลงและลำกล้องสั้นขึ้นเหลือ 44 นิ้ว ทำให้ความยาวโดยรวมของมันเหลือ 60 นิ้วและน้ำหนักแค่ 9.5 ปอนด์ นั้นทำให้มันมีน้ำหนักเกือบเท่าปืน M16 และได้มีารติดสปริงที่ลวดยึดลำกล้องทั้ง 3 อันทำให้ง่ายต่อการถอดลำกล้องออกมาเปลี่ยนหรือซ่อมบำรุง รุ่นนี้ถูกผลิตออกมา 88,000 กระบอก และถูกแทนที่อย่างรวดเร็วด้วยรุ่น 1766 ซึ่งทำให้ลำกล้องบางขึ้น และทำให้น้ำหนักมันเบากว่าเดิม รุ่น 1766 นั้นมีประสิทธิภาพดีกว่ารุ่น 1763 และถูกผลิตมากถึง 144,000 กระบอก เมื่อเกิดสงครามปฏิวัติอเมริกาข้นในช่วง.ศ.1777 ฝรั่งเศสได้เข้าร่วมด้วยในฐานะพันธมิตรของ กองกำลังภาคพื้นทวีปซึ่งจะปลดแอกอเมริกาออกจากอังกฤษ
มาควิส เดอร์ ลาฟาแยต นายทหารที่ไปอเมริกาก็ได้นำปืนคาบศิลา แชร์เลอวิล รุ่น 1763 , 1766 ไปแจกจ่ายให้ทหารอเมริกันใช้ด้วยหลังจากนั้นมันก็กลายเป็นปืนมาตรฐานประจำกองทัพภาคพื้นทวีปและกองทัพอเมริกันในเวลาต่อมา โดยอเมริกาใช้ชื่อว่าปืรุ่น สปริงฟลด์ (Springfield) แท และในปี ค.ศ.1777 ฝรั่งเศสได้ออกแบบปืน แชร์เลอวิว รุ่นสุดท้ายคือรุ่น 1777 ซึ่งมีการพัฒนาจานใส่ดินปืนตรงชนวนและใช้ทองเหลืองทำไกปืนรุ่น 1777 นั้นมีการออกแบบมาหลายขนาดทั้งสั้นและยาวเพื่อให้ทหารหลายหน่วยได้ใช้ เช่นถ้าเป็นทหารม้าจะใช้รุ่นที่ 42 นิ้ว ส่วนทหารปืนใหญ่ใช้รุ่นที่มีความยาวแค่ 36 นิ้วเป็นต้น
โดยปกติปืนคาบศิลาุ่นนี้ถูกผลิในโรงาน 4 ห่งองฝรังเศสที่ แร์เลวิว , าบูฌอ (Maubeuge), ตูลีล ( Tulle) และ แซงต์ อีแทน (St. Etienne) ต่อมาในยุคสมัยของนโปเลียนได้เพิ่มโรงงานผลิตขึ้นอีก 3 แห่งที่ ลีแย (Liege) , ตูริน (Turin) และ มุตซิกส์ (Mutzig) ปืนนี้ปรากฏในสงครามใหญ่ๆมากมายทั้ง สงคราม 7 ปี , สงครามปฏิวัติอเมริกา , สงครามนโปเลียน ไปจนถึง สงครามไครเมีย มีหลายชาตินำไปดัดแปลงเพื่อผลิตเองเช่น อเมริกาที่ใช้ชื่อว่า สปริฟิลด์ แทน ส่วนรัสเซียจะใช้ชื่อว่า ทล่า หรือขอปรัสเียใช้ื่อวา พอสัม แต่ล้วนแล้วมีต้นแบบมาจากฝรั่งเศส สำหรับเรื่องราคานั้นปืนรุ่นในยุคของมันมีราคาแค่ราวๆ 2 ปอนด์ เท่านั้น!! แต่ถ้าจะซื้อเจ้าปืนนี้ไปประดับบ้านในยุคปัจจุบันละก็ราคาสูงถึง 2,000 – 8,000 ดอลล่าร์สหรัฐทีเดียว
แม้จะผ่านมาเป็น 100 ปีแต่วามนิยมในปนคาบศิา แชร์เอวิว ก็ยังอยู่ถึงยุคนโปเลียน
source : https://patr.io/rzcCH
ตลอดเวลาตั้งแต่ปี ค.ศ.1717 – 1840 มันอยู่คู่กับกองทัพฝรั่งเศสมาตลอดจนท้ายสุดมันหลีกทางให้ระบบปืนรุ่นใหม่คือปืนแก๊ปที่มีประสิทธิภาพดีกว่ามัน ทำให้ยุคของปืนคาบศิลาต้องจบลงในที่สุด
ในปัจจุบันมีผู้คนมากมายสั่งทำปืนคาบศิลารุ่น แชร์เลอวิว ขึ้นเองซึ่งถูกกว่าของออริจินัลมาก