ในช่วงยุคกลางกองกำลังที่น่าเกรงขามของชาวยุโรปนั้นคือ อัศวิน ทหารม้าหุ้มเกราะหนัก ซึ่งทำหน้าที่ชาร์จทะลวงฟันข้าศึกจนแตกพ่าย อัศวินของยุโรป ถือเป็นชนชั้นหนึ่งที่ได้รับการเคารพนับถือ และน่ายำเกรง จนกระทั่งการมาของอาวุธดินปืนเริ่มทำให้อัศวินสูญพันธ์จากนักรบบนหลังม้ากลายมาเป็น ผบ.กองทหาร แทน อัศวินยังคงอยู่ในรูปแบบของตำแหน่งศักดินาหรือยศ แต่อัศวินที่รบบนหลังม้านั้นเรียกได้ว่าเริ่มเลือนหายไปตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ยกเว้นที่เดียว ที่นั้นคือ “โปแลนด์” ดินแดนที่ขึ้นชื่อว่า เป็นการผสมผสานระหว่างอารยธรรมตะวันตกและตะวันออก แนวคิดเก่าและแนวคิดใ โปแลนด์ยังคงมีกองทหารม้าหุ้มเกราะหนักถือทวน ทั้งๆที่หลายชาติในยุโรปตอนนั้น เริ่มไม่ให้ความสำคัญกับมัน พวกเขาคือชนชั้นนักรบที่เรียกกันว่าเหล่า วิหค ฮุสซาร์ หรือ Winged Hussar
ผมจะขอเกริ่นที่มาองำ่ ซึ่งมันเป็นคำที่ค่อนข้างจะคลุมเครือไม่แน่ชัดว่ากำเนิดจากไหนบ้างว่ามาจาก จักรวรรดิโรมันตะวันออกในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10 หมายถึงกองทหารม้าเบา แต่ที่โด่งดังสุดคงจะเป็นจาก ฮังการีในช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 15 คำว่า husz นั้นหมายถึง 20 เพราะทหารม้าฮุสซาร์จะถูกคัดเลือกมาจากชาวบ้าน 1 ใน 20 นาย ในที่ดินของเจ้าของที่ดิน ซึ่งหน้าที่ก็ทำการรบบบาบว ลดรเน แบบทหารม้าเบา บ้างก็ว่า หมายถึงทหารม้า เซอร์เบียที่เรียกว่า “Gusar” หมายถึง โจร ฮุสซาร์เริ่มแพร่เข้ามาในโปแลนด์ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยเป็น ฮุสซาร์เซอร์เบีย ในไม่ช้า สหพันธรัฐโปแลนด์ – ลิธัวเนีย ก็ว่าจ้างทหารม้าฮุสซาร์เป็นจำนวนมาก แต่ทหารม้าฮุสซาร์สไตล์ เซอร์เบีย นั้นก็ยังคงเป็น ฮุสซาร์แบบเบา ซึ่งในเวลาต่อมา โปล นั้นต้องต่อกรกับทหารม้หนัของติรกอ่า ซิปาฮิ (Sipahi) ทำให้โปลเริ่มติดเกราะให้กับฮุสซาร์ของตัวเอง จนกลายเป็น ฮุสซาร์หนัก ของตัวเองขึ้นมา..นานวันเข้า ฮุสซาร์ของโปลเริ่มได้รับอิทธิพลและสไตล์การรบแบบยุโรปตะวันตก ทำให้พวกเขาสวมเกราะหนักและทวนเหมือนอัศวิน
source : https://patr.io/mqPVz
พวกฮุสซาร์โปแลนด์ก็เหมือนอัศวินยุโรปตรงที่เป็นชนชั้นสูง การจัดกำลังที่ย่อยสุดของบรรดาวิหคฮุสซาร์จะเป็นกองร้อยที่เรียกว่า “Rota” ซึ่งมาจากชนชั้นสูงโปล สำหรับผู้บังคับกองร้อยในแต่ละกองนั้นจะเรียกว่า “Rotmistrz” พวกเขาคือชนชั้นสูงชาวโปลที่ครอบครองที่ดินและมีบริวารอยู่บ้าง ึ่งความรวยของพวกเขาทำให้ สา Sejm รือ รัฐบาลของโปแลนด์ ไม่ต้องลงแรงมากนักในการใช้เงินดูแลเหล่าทหารม้า นอกจากนี้บรรดานายพลหรือ “เฮทมาน (Hetman)” ของ โปล ก็จ่ายเงินให้เหล่า Rotmistrz เวลาจะรวบรวมพลเพื่อทำการรบ Rotmistrz จะส่งจดหมายเรียกเกณฑ์ทหาร (List Przypowiedni) ซึ่งจดหมายดังกล่าวถูกรับรองโดยกษัตริย์และ Rotmistrz นำมาใช้ต่อโดยการตั้ง กองร้อยหารมาที่ีจำวนต้งแ่ 100 – 150 นาย ั้งนี้ขึ้นอยู่กับฐานะของ Rotmistrz รายนั้นๆถ้ารวยก็อาจจะมากถึง 300 นายก็ได้ บรรดาคนที่มาเข้านั้นจะเรียกว่า “towarzysze” หรือแปลว่า “สหาย (Companion)” ชื่อเรียกคล้ายๆกองทหารม้าของอเล็กซานเดอร์เลยทีเดียว ซึ่งแต่ละคนก็จะมีเด็กรับใช้หรือ “pacholiks” แบบอัศวินในยุคกลางเลยด้วย ซึ่งบางคนอาจจะมีมากถึงเจ็ดคน ำหรับ “towarzysze” น้นก็ูจะเ็น สหายของ ผู้กองสมชื่อจริงๆเพราะพวกเขาจะช่วยออกค่าใช้จ่ายในการดูแลกองทหารเช่นกัน
อาวุธที่พวกเขาใช้ Rotmistrz ก็เป็นคนจัดหามาให้ มีสำหรับสหายคนไหนที่ช่วยออกตังค์ช่วยแชร์กับผู้กองในการซื้ออาวุธ พวกเขาก็จะได้รับส่วนแบ่งจากทรัพย์สินที่ยึดได้ในสงครามมาเป็นค่าทดแทน คราวนี้เราจะมาพูดถึง อาวุธแต่ละชิ้นของ ฮสซาร์ ันครั
สำหรับชุดเกราะตั้งแต่ยุคคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมาของทหารม้าโปลนั้นจะลอกเลียนแบบ ชุดเกราะสไตล์ฮังกาเรียน ขึ้นมาซึ่งเกราะเหล็กเป็นปล้องๆคล้าย “ลอบสเตอร์’ และเกราะอกนั้นเป็นสไตล์แบบอิตาเลียน ซึ่งได้แรงบันดาลใจมากจาก เกราะ ลอริกา แซกเมนทาทา แบบทหารโรมันในอดีต ต่อมาก็ดัดแปลงทำเป็นแผนๆประมณ 3 – 4 แผน พอมาถึงช่วง คริต์ศตวรษี่ 17 ุเกราะแบบเติร์ก ก็เป็นที่นิยมแทน หมวกเหล็ก ในช่วงแรกจะเป็นหมวกก็อปสไตล์ฮังการีมาเช่นกัน ก่อนค่อยๆปรับรูปแบบมาเป็นของตัวเองในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ซึ่งมีข้อต่อหมวกเป็นทองเหลือง และมีแผ่นเหล็กป้องกันจมูกที่เป็นรูปกุหลาบ สัญลักษณ์ของพระแม่มารีย์ เกราะแขนนั้นนตอนแรกะเป็นเกาะโซ่ถกก่อนะเปลี่นเป็นเราะแบบะวัออกซ่งป็นชิ้นๆ
แล้วก็มาถึงอาวุธหลักของบรรดาฮุสซาร์นั้นคือทวน ทวนชนิดนี้เป็นทวน สไตล์ตะวันออก มีที่ป้องกันมือเป็นรูปทรง กลมๆคล้าย แอปเปิ้ล ภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า “pomme” สำหรับตัวทวนนั้นจะทำมาจากไม้สนหรือเฟอร์ที่ราคาถูกและเบา และดาบจับของมันยังกลวงส่งผลทำให้น้ำหนักของทวนลดลงอีก ซ่งทวนขงทหารม้ฮุสซาร์ั้นยาวถง 13 – 16 ุต!! หรอราๆ 3.9 – 4.6 เมตร แต่มีน้ำหนักแค่ 4 ปอนด์ครึ่ง 1.8 กิโลกรัมเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีอาวุธรอง เช่น กระบี่ ของฮุสซาร์นั้นก็รับ สไตล์ของฮังการี และ เติร์ก มาเช่นกัน โดยจะเป็นดาบทรงใบมีดยาว ต่อมาเริ่มมีการดัดแปลงให้มันเบาขึ้น และรวมถึงทำเป็นด้ามจับที่มีรูดไว้สอดนิ้วทำให้กระชับมากขึ้นในการใช้งาน นอกจกนี้ยังมดาบแบบเยรมันซึ่เรียกว่ “koncerz” ซ่งเป็นดาตรงยาวกวา 1.3 เมร ออกแบมาเพ่อแทงทะลุเกราะอ่อนโดยเฉพาะ และยังมีตะบองเอาไว้ทุบทหารที่ใส่เกราะเรียกว่า “nadziak” รวมดึงดาบใบมีดกว้างอย่าง “palasz”
source : https://patr.io/WXleL
ถึงแม้ะขึ้นช่อเรื่อการชา์จทหารม้าฮุสซาร์ยังคงพกอาวุธยิงระยะไกลอย่างปืนและธนู ชนชั้นสูงโปลส่วนใหญ่นั้นจะพกธนูไปไหนต่อไหนตลอดเวลา แต่สกิลการยิงธนูของพวกเขานั้นเข้าขั้นห่วยแตกเลยทีเดียว จนมีคนกล่าวไว้ว่า “ควรเก็บมันไว้ที่บ้านเสียดีกว่า” ฮุสซาร์นั้นเริ่มรับอาวุธปืนมาช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 16 โดย ปืนพก “rusznica” แล ปืนยาว ฮุสซาร์เริ่มรับมันมาใช้ในเวลาต่อมาแต่ก็ถือว่าน้อยมาก ในช่ว 1560s ประมาณการณ์ว่ามี ฮุสซาร์ 30% ที่พกอาวุธปืน จนถึงยุคของพระเจ้า สเตฟาน บาธอรี่ (Stephen Báthory) พระองค์ได้ปฎิรูปกองทัพหลายอย่างรวมถึง การให้ทหารม้าฮุสซาร์ทุกนายต้องพกปืนอย่างน้อย 1 – 2 กระบอก อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ชอบใช้ทวนมากกว่า และมักพกปืนไว้หลังอานม้า
source : https://patr.io/p3xGX
การฝึกนั้นทหารม้าฮุสซาร์ค่อนข้างฝึกหนัก และพวกเขายังคงใช้ทวนประลองกันบนหลังม้าแบบอัศวินยุคกลาง การประลองกันซึ่งเป็นพิธีการครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่องานแต่งงานหลวงในปี ค..1605 ก่อนมันะค่อยๆหายป วัยหนุ่มสำหรับเหล่าฮุสซาร์นั้นก็ถือว่ายาวนาน พวกเขเรียนแลฝึกฝนด้านการทหารไปเรื่อยๆจนกว่า ผู้กองจะมีหมายเรียกพวกเขาเข้ากองร้อย ซึงผู้กองก็จะจับพวกเขามาฝึกต่อในการรบที่เป็นรูปขบวน สำหรับสิ่งที่สำคัญสุดของฮุสซาร์คือการควบม้าอันทรงพลังไปพร้อมๆกับการควบคุมทวนของตน พวกเขาต้องฝึกคุมบังเหียนมาด้วยมือข้างเดียว และต้องึกให้คล่องเียด้วย ทั้งยังมีการฝึกให้ขี่ม้าในเส้นทางแคบๆและตีวงเลี้ยวที่กว้างไม่เกิน 3 เมตร นอกากนี้พวกเขายังฝึกแบ่งกันเป็น 2 กลุ่มชาร์จใส่กันเอง
ทั้งนี้ โรงเรียน ที่สอนเรื่องสงครามดีที่สุดนั้นคือการให้พวกเขาลองรบจริงๆ จะมีการฮุสซาร์ไปประจำการแถบยูเครนไปเวลา 1 ปีเพื่อเฝ้าระวังพวก คอสแสคพกเร่ร่อนที่อยู่ในยูเครน ึ่งจะเรียกวกเขาว่า “kwarciane” พวกเขาต้องรบประปรายกับพวกเร่ร่อนบนหลังม้าเรื่อยมาว่ากันว่าพวกถือเป็นหน่วยรบชั้นหัวกะทิเทียบได้กับ เพรเตอเรียนการ์ดของโรมัน เลยทีเดียว และเมื่อถึงยามสงครามพวกเขาพร้อมถูกเรียกตัวได้ตลอด อย่างไรก็ตามเมื่อประสบหายนะในการรบกับ พวก คอสแสคและตาตาร์ในช่วง ค.ศ.1648 ทำให้ไม่มีการส่งทหารไปที่นั้นอีกเลย
ขบวนรบของเาฮุสซาร์นั้คือ “Huf” ซึ่งมาจากภาษาเยอรมันในยุคกลาง ซึ่งมัคือ ฮุสซารหลายๆกอง้อยรวมกัน แน่นอนว่ามันไม่ใช่การจัดขบวนที่ตายตัวและอาจจะมีทหารม้าฮุสซาร์ตั้งแต่ 150 – 1,500 นาย ใน 1 Huf แต่ในภายหลังขบวน Huf จะใหญ่เกินไป เลยทำการแบ่งย่อยเป็น Hufy แทน ซึ่งจะมีทหารม้า 150 – 400 นาย ซึ่งในการยุทธที่ คริลครอม (Kircholm) เมื่อ ค.ศ.1605 ทัพม้าฮุสซาร์สามารถเอาชนะกองทัพสวีดนที่ใหญ่กว่าได้ด้วย ขบวนทพนี้ แต่ในช่วงหลัง อำนจการยิงขอข้าศึกโลเพิ่มมากข้น (โดยเฉพาะสวีเดน) ทำให้กองทัพโปลมีการปฎิรูปตามแบบตะวันตก ทหารเริ่มใช้รูปขบวนรบแบบ Line ในขณะที่ ทหารม้าอยู่ที่ปีกซ้ายและปีกขวา ในช่วงแรกการรบนั้นจะเป็นเคลื่อนพลโดยรูปแบบที่
เวลาเคลื่อนขบวนจะเรียกว่า “Old Polish battle -array” ทหารม้าแต่ละนานั้นจะอยู่หางกันพอประมาณพื่อให้สามาถหันได้ 90 อศา ถึง 180 องา คล้ายๆกับขบวน Loose Formation เพื่อให้สมารถยกเลิการโจมตีได้หากอำนาจการยิงของข้าศึกมากเกินไป Huf ที่เป็นปีกนั้นจะเข้าโจมตีปีกของข้าศึก หรือเข้าหนุนในการโจมตีหลักซึ่งมักเกิดหลังจากการเปิดฉากยิงกัน โดยฮุสซาร์จะได้รับการสนับสนุนการยิงจากทหารราบ และ ดรากูน
แต่ใเวลาจะเข้าชา์จนั้นพวกเขาจะิดระยะเข้ามาป็น Close Formation และทำการชาร์จอย่างรุนแรง ชนิดทีเรียกว่าไม่ห้ข้าศึกทันายใจและฟื้นตัวได้ ซึ่งจะเริ่มทำการควบม้าแบบเต็มสูบในระยะ 100 ทวนของฮุสซาร์ นั้นจะถูกลดต่ำมาอยู่ที่ระดับหัวของม้า การชาร์จของฮุสซาร์เป็นที่น่าครั้นคร้ามมากดังบนทึกในการยุทธที่เวียนนา ค.ศ.1683
source : https://patr.io/45Ln9
“เมื่อฮุสซาร์ลดระดับทวนลง พวกเติร์กยืนอยู่หลังกำแพงหลาวที่ปกป้องพวกเขา ฮุสซาร์ไม่เพียงทำเติร์กขวัญฝ่อแต่ทำให้พวกเขาแทบบ้า การชาร์จของพวกเขามิอาจหยุดยั้ง ทวนของพวกเขาแทงทะลุเติร์ก 2 คนในครวเดียว!! พวกที่เหลือต่างวิ่งหนีกันอลม่าน เหมือนฝงแมงวันที่บินนีกันให้วุ่น”
้อความนี้อาจะดูเกินความจริงไปบ้างหากทหารเหล่านั้นสวมเกราะ ซึ่งทวนของฮุสซาร์นั้นไม่สามารถแทงทะลุเกราะแผ่นของสวีเดนในช่วง 1630s เนื่องด้วยน้ำหนักที่เบาของมันทำให้ทวนฮุสซาร์นั้นมีอานุภาพน้อยกว่าทวนของพวกยุโรปตะวันตก
อย่างไรก็ตามด้วยอาวุธดินปืนที่พัฒนามากขึ้น การเข้ชาร์จของทหาม้าฝ่าห่ากระุนปืนน้อใหญ่จึงเสมือการฆ่าตัวตาย รมถึงกองทัพโปลยุคใหม่เริ่มมีการปฎิรูปให้เหมือนยุโรปตะวันตกมากขึ้น ทำให้ บรรดา วิหคฮุสซาร์ เสื่อมความนิยมลง จนลดบทบาทไปเป็นองครักษ์ส่วนตัวของกษัตริย์จวบจน ค.ศ.1775 ซึ่งมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในโปแลนด์ ทำให้กองกำลังฮุซสาร์ของโปแลนด์ถูกยุบลงไปอย่างเป็นทางการในที่สุด ถึงแม้จะไม่มีิหคฮุสซาร์ แต่ปแลนด์ยังคงเ็นดินแดนขึ้นช่อเรื่องทารม้ามาตลอด ทหารม้าโปแลนด์ยังคงขึ้นชื่อเรื่องการทวน และเป็นที่น่าเกรงขามไปทั่วยุโรป
source : https://patr.io/i2twC