นับแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 มารถถังรุ่น Renault FT ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นรถถังที่ดีที่สุดแห่งยุค และมันยังถูกผลิตเรื่อยมาหลังสงครามโลกและถูกขายให้ประเทศต่างๆ ฝรั่งเศสก็ยังไม่มีโครงการจะพัฒนารถถังในเร็ว่ง นาซีเยอรมันเริ่มผงาดขึ้นมาเป็นภัยคุกคาม หลักนิยมการรบสมัยใหม่เริ่มเข้ามาในฝรั่งเศสนั้นคือ การรบสมัยใหม่ทหารราบอาจจะแทบทำการรบไม่ได้เลยถ้าไม่มีการสนับสนุนจากยานเกราะหรือรถถัง รถถังของฝรั่งเศสที่ออกแบบในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นรถถังที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนทหารราบและเน้นการตั้งรับมากกว่า ใช้เป็นหัวหอกในการบุกทะลวงแบบฝ่ายเยอรมัน ยาไกตมร่เศสได้พยายาม จำแนกรถถังของตัวเองเป็น 2 ประเภทคือ 1.รถถังทหารราบ มีหน้าที่สนับสนุนทหารราบอย่างใกล้ชิด 2. รถถังทหารม้า เป็น รถถังเคลื่อนที่เร็ว เหมาะสำหรับการลาดตระเวน เข้าตีอย่างฉาบฉวย
รถถังรุ่น Renault FT ของฝรั่งเศสในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 1
source : https://patr.io/Oeo7H
อย่างไรก็ตามการจัดกำลังของฝรั่งเศสก็ยังขึ้นอยู่กับหลักนิยมการตั้งรบอยู่ดี ทำให้รถถังส่วนใหญ่ของฝรั่งเศสกระจายอยู่ตามสังกัดของทหารราบ มากกว่ารวมตัวกันเป็นกองกำลังขนาดใหญ่ รถถัง Char B1 ของฝรั่งเศสก็ถูกผลิตมาเพื่อแนวคิดสนับสนุนทหารราบเช่นกัน รถถัง Char B1 ของฝรั่งเศสเริ่มถูออแบใช่ง 1920’s ันูกอกบบนแนวคิดที่ว่านอกจากสนับสนุนทหารราบแล้วมันยังต้องต่อสู้กับรถถังข้าศึกได้ มันกลายเป็นรถถังประจัญบาน “char de bataille” ต้องมีปืนใหญ่ที่แรงพอจะทำลายสิ่งปลูกสร้างของข้าศึกได้และเกราะหนาพอที่จะกันลูกกระสุนได้ทุกรูปแบบ
ฝรั่งเศสได้ตัดสินว่ารถถังชนิดนี้ต้องติดปืนโฮวิทเซอร์ขนาด 75 mm ซึ่งมีอานุภาพรุนแรง แต่รถถังคันดักล่าวยังเป็นเพียงแค่แผนไม่เป็นรูปร่างจนกระทั่ง ค.ศ.1935 จึงได้ถือกำเนิดรถถังตระกูล Char B1 ซึ่งจะมีรุ่น Char 1 และ Char B1 bis ขึ้นมา มันมีน้ำหนักกว่า 31 ตัน กว้าง 8 ฟุต ยาว 21 ฟุต สูง 9 ฟุต และมีเกราะหนา 40 มิลลิเมตร สำหรับรุ่น bis อาจจะมากถึง 60 มิลลิเมตร และมีเครื่องยนต์ 300 แรงม้า ทำความเร็วได้ 17 ไมล์ต่อชั่วโมง รวมถึงมีถังน้ำมันสำรอง ทำให้ปฏิบัติการณ์ได้ไกล 120 ไมล์ อาวุธหลักของ Char B1 คือปืนขนาด 75 mm ABS SA 35 howitzer ที่ติดตรึงตรงตัวถัง ไม่สามารถหมุนได้ และมีปืนใหญ่ 47 mm SA 34 หรือ SA 35 ที่ติดบนป้อมและหมุนได้ นอกจากนี้ยังมีปืนกลอีก 2 กระบอก
รถถังรุ่น Char B1 bis
source : https://patr.io/fXPqU
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดขึ้น ฝรั่งเศสมี รถถัง Char B1 รวมราวๆ 400 คัน เนื่องด้วยราคาที่แพงของมันทำให้มีการผลิตออกมาน้อย และมันก็ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็น รถถังที่น่าเกรงขาม สุดๆของฝรั่งเศส เนื่องด้วยปืนใหญ่รถถังของเยอรมันหรือ ปืนต่อต้านรถถังขนาด 37 มิลลิเมตร ของเยอรมัไม่สามารถเจาะเกราะหน้าของมันเข้าได้เลย ได้เกิดตำนานขึ้นที่หมู่บ้าน สโตน เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 เมื่อกรมแพนเซอร์ที่ 8 ของเยอรมันปะทะกับ Char B1 ของฝรั่งเศสคันเดียวที่ชิ่อว่า “Eure” รถถังเยอรมันเปิดฉากยิงถล่มเจ้าชาร์บี 1 แบบไม่คิดชีวิต แต่ก็พบว่ากระสุนของพวกเขาไม่สามารถยิงเจาะเกาะของมันได้ คราวนี้ เลยสวนด้วย ปืนใหญ่ขนาด 75 มิลลิเมตร ฉีก แพนเอร์ 3 ที่ยูตรงน้าป็นิ้ๆ เมื่อพบว่า ม่อาจจะต่อสู้กับ อสูรเหล็กตนนี้ได้ เยอรมันจึงถอยกลับ และ ฝรั่งเศสก็สามารถเข้ายึดหมู่บ้าน สโตน ได้อีกครั้ง ในวันนี้วันเดียว “Eure” สามารถทำลายรถถังแพนเซอร์ 3 ได้ 11 คัน และ แพนเซอร์ 4 อีก 2 คัน!! ในขณะเดียวกัน เจ้า “Eure” ก็มีรอยถูกกระสุนทั้งสิ้น 140 นัด แต่ไม่มีนัดไหนเจาะเกราะมันเข้าเลย
รถถัง Char B1 ชื่อ “Eure” ที่สามารถทำลายรถถังเยอรมันได้ 13 คัน
source : https://patr.io/mefIj
แต่ด้วยจำนวนที่น้อยเกินและหลักการบของเยอรมันที่เหนือกว่าซึ่งเป็นการประสานกำลังรบและเข้าโจมตีพร้อมกันหลายอย่างทั้ง ปืนใหญ่ เครื่องบินทิ้งระเบิด และ รถถง รวมถึงการจัดกำลังของฝรั่งเสสทำให้ Char B1 กระจายตัวไปตามกรมทหารราบ มิได้รวมเป็นกลุ่มก้อนแบบรถถังเยอรมัน ท้ายสุด Char B1 มิอาจพลิกชะตาของฝรั่งเศสได้ ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ในที่สุดและสูญเสีย Char B1 ไป 267 คัน อย่างไรก็ตาม Char B1 ที่เหลือก็ถูกเยอรมันยึดและเอาไปดัดแปลงใช้กับกองทัพตัวเองเรียกว่า “Panzerkampfwagen B-2” ซึ่งเป็นรถถังที่เอาไว้ใช้หลังแนวรบ อาจจะใช้ในการฝึก หรืเอาไปโมดัดแปลงใหม่เป็น รถ่นไ หรือ รถปืนใหญ่อัตราจร และเมื่อฝรั่งเศสได้รับการปลดปล่อยในช่วง ค.ศ.1944 รถถัง Char B1 บางส่วนที่เหลือก็กลับเข้าประจำการกองทัพ โดยถูกใช้ในเขตยึดครองเยอรมันของฝรั่งเศสช่วง ค.ศ.1945 – 1946 ปัจจุบันมันก็ถูกปลดประจำการ และอยู่ในพิพิธภัณฑ์เป็นที่เรียบร้อย เป็นอันปิดฉากเจ้าอสูรเหล็กของฝรั่งเศส
รถถัง Char B1 ซึ่งถูกฝ่ายเยอรมันนำไปใช้งาน
source : https://patr.io/k7hOA