ทหารม้าหน่วยรบที่อาจจะเรียกได้ว่าแข็งแกร่งสุดๆในโลกยุคเก่า เมื่อพวกเขาขึ้นควบบนหลังม้าและเข้าชาร์จด้วยโมเมนตัมอันมหาศาลมันยากที่ใครจะหยุดพวกเขา ถ้าให้เทียบแล้วพวกเขาก็เหมือนรถถังในปัจจุบัน ก่อนหน้านี้ต้องเข้าใจก่อนว่า ก่อนที่มนุษย์จะสามารถควบม้าได้คล่องแคล่วจนเอามาใช้ในสงครามได้ก็ในห้วง 900 ปีก่อน ค.ศ. ซึ่งในเวลานั้นจักรวรรดิอัสซีเรีย (Assyria Empire) ซึ่งตั้งอยู่แถบตะวันออกกลางในปัจจุบัน หลักฐานการใช้ทหารม้าหนัก หรือ ม้าที่สามารถรองรับน้ำหนักได้จำนวนมาก มาจากชาวมีเดีย (Media) ในช่วง 700 ปีก่อน ค.ศ. เริ่มมีการเพาะพันธุ์ ม้าหนักจำนวนมาก แต่พวกที่เริ่มเอาม้าหนักมาหุ้มเกราะจริงๆ ก็ต้องพวกเผ่าที่อยู่ทางเหนือ มีเดีย ได้แก่ พวก ซามาร์เทียน (Samartian) , ไซเธีย (Scythia) และเผ่าเร่ร่อนทางเหนือ แนวคิดนำทหารม้าหนักมาใช้ในสงครามก็แพร่กระจายไปทั่วเอเชียกลางและตะวันออกกลาง
ทหารม้าหุ้มเกราะพาร์เธีย
ที่มา – https://weaponsandwarfare.files.wordpress.com/2018/07/parthian_army.jpg
มาถึงยุคจักรวรรดิเปอร์เซียมีการใช้ทหารม้าหนักในการทำสงครามแต่มันยังไม่ได้หุ้มเกราะทั้งตัว จนกระทั่งเลยมาถึงยุคของจักรวรรดิพาร์เธีย ซึ่งเป็นจักรวรรดิเผ่าเร่ร่อนทางเหนือของอิหร่าน พวกเขาก็ทำให้โลกทั้งใบได้รู้จักทหารม้าหุ้มเกราะอย่างแท้จริงชนิดที่เรียกว่าทุกตารางนิ้วของผู้ขี่และตัวม้านั้นคลุมด้วยเกราะ ซึ่งคำว่า “Cataphract” ก็มาากภาษากรีกที่เขา “ Κατάφρακτος” หรือแปลว่า หุ้มไปด้วยเกราะนั้นเอง พวกพาร์เธีย กลยุทธ์การใช้ ทหารม้าหุ้มเกราะ ได้รับคำอธิบายจากนักประวัติศาสตร์สมัยใหม่โดยคำจำกัดความง่ายๆว่า “เหมือนโยนโบว์ลิ่งใส่พิน” กองทหารม้าพาร์เธีย สามารถเอาชนะกองทัพเซลูซิด และโรมันได้หลายครั้ง จนพวกโรมันเริ่มรู้จักกับทหารม้าหุ้มเกราะ
เมื่อพวกพาร์เธียล่มสลาย เปอร์เซียภายใต้ราชวซาเนียนกลับมามีอำนาจอีกครั้ง พวกเปอร์เซียได้ใช้ทหารม้าหุ้มเกราะแบบพาร์เธีย การหุ้มเกราะทั้งตัวแบบนี้นั้นมีราคาสูงและคนที่จ่ายราคาขนาดนี้ได้มีแต่ชนชั้นสูงทำให้ทหารม้าหุ้มเกราะมีจำนวนไม่มาก พวกเขาเปรียบเสมือนหัวกะทิของกองทัพเปอร์เซียใหม่ ทหารม้าหุ้มเกราะแห่งเปอร์เซีย สวมเกราะคลุมทั้งตัวซึ่งเป็นเกราะเกล็ด ขนาด 6*4 เซนติเมตรและหนาถึง 4 มิลลิมตร เกล็ดแต่ละชิ้นถูกพันด้ยวทงดง ซึ่งเกราะของนักรบและม้าทั้งตัวอาจจะมากถึง 1,300 เกล็ดเลยทีเดียว อาวุธของพวกเขาคือ ทวนยาว 4 เมตรแบบกรีกที่เรียกว่า ลาริสซ่า (Larissa) พวกเขาเข้าชาร์จในรูปขบวนปิดทำลายแนวรบของฝ่ายตรงข้าม
ทหารม้าหุ้มเกราะเปอร์เซีย
ที่มา – https://imperiumromanum.pl/wp-content/uploads/2017/08/sanas.jpg
มาทางฝั่งโรมันศัตรูตัวฉกาจของพาร์เธียและเปอร์เซียในเวลาต่อมา หลังจากพวกเขาได้พบเห็นทหารม้าหนักของพาร์เธียเป็นครั้งแรกแน่นอนว่าพวกโรมันปรับตัวตามคู่ต่อสู้เสมอและในครั้งนี้พวกเขาก็ต้องการสร้างหน่วยทหารม้าหุ้มเกราะของตนเอง ในห้วงแรกพวกเานั้นการเกณฑ์กำลังชาติพันธมิตรที่มีม้าหุ้มเกราะมาช่วยรบ จนกระทั่งถึงช่วง ค.ศ.130 โรมันเริ่มตั้งหน่วยทหารม้าหุ้มเกราะของตนขึ้นมาเอง ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโต้ เผ่า ซามาร์เทียน ทางเหนือของชายแดน ซึ่งโรมันจะเรียกทหารม้าเหล่านี้ว่า “clibanarii” ทหารม้าหุ้มเกราะโรมันเริ่มรับอะไรหลายอย่างมาจากทั้ง เปอร์เซีย และ ซามาร์เทียน ไม่ว่าจะทวนยาว 4 เมตร หมวกเหล็กแบบ ซามาร์ทียน ดาบตรงยามใมด้านเดียว รวมถึงธนูวัสดุผสม
ทหารม้าหุ้มเกราะโรมัน
ที่มา – https://i.pinimg.com/550x/8b/ab/b2/8babb2a6dd527886e4ba0f8bd61feba4.jpg
จนกระทั่งจักรวรรดิโรมันล่มสลายเหลือแต่จักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือท่เรียกกันว่า จักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine Empire) ไบแซนไทน์ มีหน่วยทหารม้าห้มกราทีเรยกว่า “klibanophoroi” ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่า เป็นหัวกะทิของไบแซนไทน์และติดอาวุธครบทุกอย่างไม่ว่าจะดาบ “Spatha” ใบมีดยาว 90 เซนติเมตร แหลมทุ่มน้ำหนักและบางนายพกธนู เกราะที่คลุมพวกเขาทั้งตัวนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีช่องไหนที่น่าจะเจาะทะลุ หน่วยของพวกเขาจัดอยู่ใน ทหารรักษาพระองค์ (tagama) ของไบแซนทน์ โดยมีจำนวนราวๆ 1,000 1,500 าย พวกเขาจะเข้าโจมตีด้วยรูปขบวนรูปลิ่ม (Wedge Formation) ึ่งเหมาะกับการเจาะแนวข้าศึก แต่ด้วยความที่ไบแซนไทน์ต้องรับศึกจากหลายด้านและมีสงครามกลางเมืองหลายครั้ง ทหารม้าหุ้มเกราะแห่งไบแซนไทน์ โดนละลายในการยุทธที่ แมนซิเคิร์ด (Battle of Manzikert) ด้วยฝีมือของพวกเติร์ก ต่อมา ไบแซนไทน์ การปฏิรูปกองทัพใหม่ให้ทันสมัยขึ้นและไม่มีการตั้งหน่วยม้าหุ้มเกราะขึ้นอีกเลย
การปะทะระหว่างเติร์ก และ ไบแซนไทน์ ใน แมนซิเคิร์ด
ที่มา – https://weaponsandwarfare.files.wordpress.com/2020/01/3e3f82b53a7fa02dd 8ce5e9dd3b8bb2c.jpg
ในห้วงยุคกลางศัพท์คำว่า ทหารม้าหุ้มเกราะ เริ่มหาไปและถูกแทนที่ด้วยอัศวินแบบยุโรปแทน ซึ่งพวกเขายังคงทำหน้าที่เป็น เสมือนรถถัในสามรบ ม่ตางจกม้าหุ้มเกราะสักเท่าไหร่ แต่คำว่า “Cataphract” ก็เริ่มเลือนหายไปจากหน่วยทหารทั่วโลก และถูกแทนที่ด้วยทหารม้าหนักประเภทอื่นแทน