ในยุคโบราณนั้นดินปืนยังไม่ถือกำเนิดขึ้น แต่การสร้างป้อมปราการ กำแพงเมือง นั้นมีมาก่อนหน้านั้นนานแล้ว การเข้าโจมตีป้อมปราการของข้าศึกในยุคโบราณนั้นกระทำโดยหลายวิธี อาจจะปิดล้อมเฉยๆรอให้เสบียงหมด หรือมีการใช้บันได สร้างหอรบ อะไรก็หลายแต่ก็ตาม แต่อีกสิ่งหนึ่งที่คนโบราณเริ่มคิดขึ้นมาคือการสร้างเครื่องยิงขนาดใหญ่ (Artillery) ที่มีอำนาจการยิงมากพอจะทำให้สิ่งปลูกสร้าง หรือคนที่อยู่ภายในสิ่งปลูกสร้างเสียหาย และเครื่องยิงยุคแรกๆ ก็ถูกเรียกว่า บัลลิซต้า (Ballista)
โดยรูปแบบแรกของ บัลลิซต้า นั้นคือ “gastraphetes” ซึ่งเป็นหน้าไม้ขนาดใหญ่ที่มีแรงน้าวสายค่อนข้างสูง ซึ่งสามารถยิงลูกศรหไกล 250 เมตร มันสามารถเจาะเกราะของนักรบในสมัยก่อน หลังจากนั้นช่วงราวๆ ก่อน ค.ศ.390 ดิโอไนซัสที่ 1 (Dionysus I) ผู้ปกครองแห่งซีราคิวส์ได้ระดมเหล่ามันสมองนักวิศวกรรมให้ยกเครื่องกองทัพใหม่ ผลปรากฏว่า เขาสามารถสร้างหอรบที่ยิงหินออกมาได้ นั้นเป็นการเปิดศักราชการใช้เครื่องยิงในการทำสงคราม ตัว “gastraphetes” นั้นถูกปรับปรุงให้ใหญ่ขึ้น โดยปกติมันถูกออกแบบให้คนถือได้ ในครวนี้มันใหญจตอั้งกับพื้น ในช่วงก่อน ค.ศ.375 ได้มีเครื่องยิงที่เรียกว่า “oxybeles” ซึ่งใช้หลักการเดิมคือการน้าวสายให้ตึงเพื่อจะได้มีกำลังยิงที่สูงขึ้นและด้วยขนาดใหญ่ของมันทำให้มันสามารถยิงลูกศรยาวกว่า 6 ฟุต รวมถึงลูกหินได้
Gastraphetes หรือหน้าไ้ยักษใยคบาณซึ่งสามารถยิงลูกศรเหล็กออกไปด้วยความเร็วสูงได้
ที่มา – http://kotsanas.com/photo/1402001-01.jpg
มันมีระยะยิงที่ไกลกว่าเดิม ในยุคหลังเริ่มมีเครื่องยิงหลายประเภทออกมาอวดโฉมในโลกโบราณเช่นเครื่องยิงหินที่ ใช้หลักการคานเหวี่ยง จนกระทั่งมาถึงการมาของพวกโรมัน ชนชาติที่ชอบทำสงครามนอกจากการตั้งกองทัพประจำการและปฏิรูปอะไรๆหลายอย่างแ่นอนว่าพวกเขารับอิทธิพลด้านการทหารมาจากหลายที่โดยเฉพาะรัฐของบรรดาชาวกรีก 1 ในนั้นคือ เครื่องยิงระบบน้าวสายที่โรมันเรียกว่า บัลลิซต้า นั้นเอง มันเป็นเครื่องยิงที่ใช้พลประจำ 2 นาย สามารถยิงได้ทั้งสิ่งปลูกสร้างและบุคคล ในยุคจูเลียส ซีซ่าร์ เขาได้ระบุให้กองทหาร 1 ลีเจี้ยน (Legion) ราว 4,200 – 6,000 นาย ต้องมี บัลลิซต้า 30 เครื่อง ซึ่งสามารถทำให้อำนาจการยิงมันครอบคลุมทั้งหน่วยทหาร
ทหารโรมันกับบัลลิซต้า
ที่มา – https://i.pinimg.com/originals/3e/8e/1e/3e8e1ecbe8f6ab34ceb02b1428fa3335.gif
บัลลิซต้า ของโรมันนั้นก็ออกแบบมาให้มีหลายขนาด มีทั้งขนาดเบาที่เหมาะกับการใช้ภูมิประเทศในป่าและหุบเขาเช่นใน เยอร์มาเนีย (Germania) และ บริทานี (Britania) ีขาด 2 – 4 ฟุต สามารถยิงหินได้ขนาด 7 – 60 ปอนด์ ได้ในระยะ 550 หลา หรือถ้ายิงลูกศรก็สามารถยิงลูกศรยาว 3 ฟุตได้ ในระยะ 300 หลา โจซีฟัส นักประวัติศาสตร์ยิว ได้บันทึกว่า ในสมัยที่ จักรพรรดิเวสปาเซียน (Vespasian) ล้อมเมือง โจตาปาตา ในเขตของชาวยิว ซึ่งเขาใช้เครื่องยิงมากถึง 160 เครื่องรวมถึง บัลลิซต้า ด้วย เขายังด้บรรยาย อำนาจของเครื่องยิงโรมันในระหว่างการโจมตีเมืองอีกด้วย
“อำนาจการยิงของพวกมันนั้นรุนแรงมาก มันเหวี่ยงหินมาทำลายกำแพงจนเสียหาย หอคอยเริ่มพังทลาย ทหารที่ยืนบนกำแพงคนหนึ่งหัวโดนโฉบเอาไปด้วยกระสุนหินของพวกโรมัน พวกโรมันระดมยิงใส่เมืองตลอดทั้งวันทั้งคืน มีวันหนึ่งหินกระดอนเข้ามาในตัวเมืองและโดนผู้หญิงท้องจนเสียชีวิต เสียเครื่องจักรในระหวางยิงนั้นกลายเ็นเียงี่่าสดสยอง น่ากลัวพอๆกับเสียงคนที่ร้องโหยหวนและเสียชีวิตเมื่อโดนพวกมันยิงใส่”
ทหารโรมันขณะกำลังปิดล้อมเมืองโจตาปาตาพวกเขาระดมยิงเมืองด้วยเครื่องยิงน้อยใหญ่กว่า 160 เครื่อง
ที่มา – https://pbs.twimg.com/media/EjWCNEdXkAYOHm3.jpg:large
วทรเียส (Vitruvius) นักประวัติศาสตร์โรมัน ในช่วงก่อน ค.ศ.50 ได้บรรยายไว้ว่า
“บัลลิซต้า ของโรมันนั้นมีหลากหลายประเภท แต่หลักๆแล้วการสร้างมันต้องคำนำถึงตลอดว่าจะใช้ยิงกระสุนแบบไหนน้ำหนักเท่าไหร่ ต้องมีการคำนวณสัดส่วนของความยาวลูกศร และสายยิง ผู้ที่ใช้และสร้างเครื่องยิงนี้ต้องใช้ผู้เก่งคิตศาสตร์ในการสร้างมั”
ในวลา่อมาครื่องยิงต่างๆก็ถูกพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ ัลลซตา เริ่มมีการดัดแปลงให้สามารถติดบนรถม้าได้ ทำให้มันเป็นเสมือนปืนใหญ่ อัตตาจร ในปัจจุบัน จนกระทั่งการล่มสลายของโรมัน รัฐในยุโรปสลายเป็นอาณาจักรเล็กๆเครื่องยิงที่มีราคาแพงเลยเริ่มถูกสร้างน้อยลง แต่อย่างไรก็ตามก็มีคนกลับมาใช้ บัลลิซต้า ในห้วงยุคกลางก่อนจะสูญพันธุ์ปอย่างถาวรเมื่ออาวุธดิปืนถืกำเนดขึ้
ทหารโรมันในช่วงปลายกับบัลลิซต้าที่ออกแบบให้อยู่บนรถม้าได้
ที่มา – https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/f/f7/Ballista-quadrirotis.jpeg