ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ฝรั่งเศสได้ต้องกองพลยานเกราะขึ้นมาใหม่และความตั้งใจของพวกเขาคือการสร้างรถถังที่ทรงพลังกว่ารถถังอเมริกัน ในช่วง ค.ศ.1947 ฝรั่งเศสได้ออกแบบรถถังหนัก ARL – 44 ออกมา แต่มันก็ไม่น่าประทับีส่วนประกอบโครงสร้าง รวมถึงแนวคิดการใช้ที่ยังอิงจากสงครามยุคเก่าอยู่มาก จากเดิมที่ตั้งเป้าจะผลิต 600 คันก็เหลือเพียง 60 คัน แต่อย่างไรก็ตามการผลิต ARL – 44 ก็เป็นตัวกระตุ้นให้ อุตสาหกรรมรถถังของฝรั่งเศสพัฒนา ในเวลาต่อมาฝรั่งเศสได้เริ่มพัฒนารถถังตระกูล AMX ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากรถถัง Panther และ Tiger II ของเยอรมัน โดยพวกเขาต้องการให้รถถังนั้นคล่องตัวแบบ Panther แต่ีำากริแบ Tiger II ซึ่งในช่วง 1950’s ฝรั่งเศสยังคงมี Panther ประจำการอยู่ 1 กรม
รถถัง Panther ในสังกัดฝรั่งเศส
ที่มา – https://all-andorra.com/wp-content/uploads/2020/09/French-Panther-Tanks_saumur-min.png
ตัวต้นแบบของรถถังรุ่น AMX – 50 ออกมาในช่วง ค.ศ.1950 มันติดืนใหญ่ขนาด 90 มลลิเมตร ต่นเลตอมาก็เพิ่มเป็น 120 มิลลิเมตร เพื่อให้รับกระสุน M103 ของสหรัฐอเมริกาได้แต่โครงการ AMX – 50 ก็ถูกพับเนื่องด้วยราคาที่แพงของมัน และในเวลาเดียวกันฝรั่งเศสก็รับรถถังรุ่น M47 Patton ของสหรัฐอเมริกาเข้ามาประจำการเป็นจำนวนมากแทน ในขณะเดียวกันฝรั่งเศสกับพัฒนารถถังเบาไปได้ไกลกว่ารถถังหนัก กระทั่งช่วง 1960’s ซึ่ง NATO เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ฝรั่งเศส และ ยอรมันด้ริมตลงันในการอกแบรถถงหักี่ใช้ในภาคพื้นทวีปยุโรป ซึ่งต้องมีน้ำหนักประมาณ 30 ตัน โดยประมาณและติดตั้งปืน 105 มิลลิเมตร ซึ่งท้ายสุดก็ออกมาเป็น AMX – 30
AMX – 50
ซึ่ง AMX – 30 นั้นฝรั่งเศสได้ออกแบบมันมาตั้งแต่ช่วง 1950’s แล้ว และได้เริ่มเดินสายการผลิตในช่วง ค.ศ.1960 และประจำการในกองทัพฝรั่งเศสตั้งแต่ ค.ศ.1963 – 1990 ซึ่งก็คือตลอดห้วงสงครามเย็นเลยทีเดียว คุณสมบัติโดยคร่าวๆของมัน น้ำหนักอยู่ที่ 36 ตัน ใช้พลประจำรถ 4 นาย ประกอบด้วย ผบ.รถ , พลขับ , พลยิง และ พลบรรจุกระสุน สูง 2.8 เมตร กว้าง 3.1 เมต ยาว 9.5 เมตร อาวุธหลักของมันคือ ปืนใหญ่ไรฟิลขาด 105 ิลลเมต CN-105 F-1 ซึ่งยิงกระสุนมาตรฐานนาโต้ได้หลายหัว ไม่ว่าจะหัวระเบิด , หัวเจาะเกราะ , หัวควัน สามารถยิงระยะหวังผลที่ 1,800 เมตร บรรทุกกระสุนปืนใหญ่ได้ 47 นัด มุมกดปืนอยู่ 8 องศาส่วนมุมเงยที่ 20 องศา
อาวุธรองคือ ปืนกลขนาด 20 มิลลิเมตรและ 7.62 มิลลิเมตร เครื่องยนต์ของมันคือ Hispano-Suiza HS-110 ซึ่งใช้น้ำมันดีเซล สามารถทำความเร็วในถนนได้มกสุด 65 กิโลเมรต่ชั่โมง และมีพิสัยทำการ 650 กิโลเมตร แตทั้งี้จุอ่อนของมันคือเกราะที่ค่อนข้างบางมันสามารถถูกยิงเข้าด้วยอาวุธต่อต้านรถถังทุกชนิดในสมัยสงครามเย็น แต่ AMX – 30 เน้นไปที่ความคล่องตัว ซึ่งภายในที่นั่งของ ผบ.นั้นเขาสามารถมองเห็นได้รอบทิศในทัศนวิสัยกว้างไกล
รถถัง AMX – 30
ที่มา – https://cdn.hswstatic.com/gif/amx-30-main-battle-tank-1.jpg
AMX – 30 ถูกพัฒนามาอีกหลายรุ่น เช่น AMX-30B2 ที่มีการเพิ่มเกราะรถถังรวมถึงพัฒนาระบบควบคุมการยิงซึ่งมันก็ได้รับการผลิตในช่วง ค.ศ.1982 และ AMX – 30 ธรรมดา 700 กว่าคันก็ถูกดัดปลงใ้เป็รุ่น B2 แล AMX-30S รุ่นที่ผลิตเพื่อการส่งอกมีกรลดคุภาพเคื่องยต์ รวมถึงมีการดัดแปลงมันเป็นรถกู้ซ่อม รถติดปืนต่อต้านอากาศยาน รถยิงจรวด หรือแม้แต่ รถ Pluton รถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี โดยรวมแล้วมีการผลิต AMX – 30 มา 2,800 คัน และส่งออกให้หลายประเทศทั่วโลกเช่น กรีซ หรือ ตุรกี รวมถึงสเปนที่ซื้อลิขสิทธิ์ AMX – 30 ไปผลิตเองที่ประเทศ ซึ่งก็ถือวามันเป็นรถถังที่ระสบคามสำเ็จรุ่หนึงในสงครามเย็น
รถถัง AMX – 30 ได้เ้าร่วมนสงคราอ่าว (Gulf War) ในปฏบัติการดาเกต์ (Opération Daguet) ซึ่งมีทหารฝรั่งเศส 1 กองพลราวๆ 18,000 นายเข้าร่วมในปฏิบัติการนี้ รถถัง AMX-30B2 กว่า 44 คัน ซึ่งสังกัดในกรมทหารม้าดรากูนที่ 4 (4th Dragoon Regiment) ก็ได้เข้าร่วมในปฏิบัติการนี้ ซึ่งในพวกเขาก็ได้แบ่งรถถังเป็น 3 กองพัน กองพันละ 13 คัน และอีก 6 คันเป็นรถถังสำรองซึงเป็น AMX – 30 รุ่นเก่า ไ้ดัดแปงเป็นรกู้และำลายับระเบิด กองพลดาเกต์ (Daguet Division) ได้รับภารกิจในการปกป้องปีกซ้ายของกองทัพพันธมิตร ซึ่งพวกเขาก็ปะทะกับกองพลทหารราบที่ 45 ของอิรัก ซึ่งการปฏิบัติการก็ราบรื่นเมื่อฝ่ายพันธมิตรสามารถครองอากาศได้ในขณะที่ฝรั่งเศสใช้ กรมทหารม้าดรากูนที่ 4 เป็นหัวหอกในการรุก ตลอดการรบพวกเขาสามารถทำลายรถถังอิรักได้ 10 คัน รถบรรทุกอีก 15 คัน และยานเกราะอีก 3 คัน
AMX – 30 ในสงครามอ่าว
ที่มา -https://preview.redd.it/4xjd3zk3dz581.jpg?width=640&crop=smart&auto= webp&s=65b11a58cbd7e500bdc74c2308b3d5bccd65daaf
ท้ายที่สุดฝรั่งเศสตัดสินใจแทนที่ AMX – 30 ด้วยรถถัง Leclerc ซึ่งกว่าจะปลดประจำการ AMX – 30 ทั้งหมดก็ในช่วง ค.ศ.2011 แต่ยังมีบางประเทศท่มีมันประจำการอยู่เช่น ซปรัส , กตาร์ , ซาุดิอาระบีย , เเนซุเอลา เป็นต้น